บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส อ่านโดยพระคาร์ดินัลไมเคิล เชอร์นี


            พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปสู่ที่กันดาร (เทียบ ลก. 4,1) ทุก ๆ ปี การเดินทางแห่งมหาพรตของพวกเราย่อมเริ่มขึ้นด้วยการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าไปในที่นั่นและสัมผัสกับประสบการณ์[ในที่กันดาร]เช่นเดียวกับพระองค์ [ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญอันหนึ่งเพื่อประโยชน์ของพวกเรา กล่าวคือ] เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จไปในที่กันดาร สถานที่แห่งความเงียบนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่แห่งการรับฟัง เราทั้งหลายถูกทดสอบความสามารถในการรับฟัง เหตุว่าเราจะต้องเลือกระหว่างเสียงสองอย่าง พระวรสารเล่าให้พวกเราฟังในเรื่องนี้ว่า การเดินทางของพระเยซูเจ้าเริ่มจากการรับฟังและการนบนอบเชื่อฟัง เหตุว่าพระจิตเจ้าผู้ทรงเป็นพระอานุภาพของพระเจ้าได้นำพระองค์ไปยังสถานที่ที่ไม่มีสิ่งดีอะไรงอกขึ้นมาจากพื้นดิน ไม่มีฝนตกลงมาจากฟ้า เป็นสถานที่ที่ย่อมทำให้เราทั้งหลายรู้สึกถึงความขาดแคลนทั้งทางวัตถุและทางจิตวิญญาณ และทำให้เรารู้ว่า เราจะอยู่ไม่ได้หากปราศจากปังและพระวาจาของพระเจ้า

            พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์แท้ได้ทรงรู้สึกความหิวโหยนี้เช่นกัน (เทียบ ลก. 4,2) พระองค์ทรงถูกผจญเป็นเวลาสี่สิบวัน สิ่งที่มาผจญพระองค์นั้นคือคำพูดอย่างหนึ่งที่ไม่ได้มาจากพระจิตเจ้า หากแต่มาจากความชั่วร้าย มาจากปีศาจ บัดนี้พวกเราได้เข้าสู่ช่วงเวลาสี่สิบวันแห่งมหาพรตกันแล้ว [ตอนนี้]จึงขอให้พวกเรารำพึงไตร่ตรองความจริงที่ว่า เราเองก็ถูกผจญเหมือนกัน แต่เราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหตุว่าพระเยซูเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเรา เพื่อทรงนำทางพวกเราผ่านที่กันดารนี้ไป พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรับสภาพมนุษย์ไม่ได้เพียงแต่ทรงเป็นแบบอย่างแสดงถึงวิธีการต่อสู้กับความชั่วร้ายเท่านั้น หากแต่พระองค์ยังได้ประทานสิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมากให้แก่พวกเราด้วย กล่าวคือ ความแข็งแกร่งที่จะทำให้เราสามารถต้านทานการโจมตีจากความชั่วร้าย และมีความเพียรทน[ในการก้าวต่อไป]บนเส้นทางของพวกเรา

            ในตอนนี้ ขอให้พวกเราพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ สามประการในเรื่องการผจญ ทั้งการผจญที่พระเยซูเจ้าทรงประสบ และที่พวกเราเองต่างต้องประสบ ได้แก่ จุดเริ่มต้น วิธีการ และผลของมัน ซึ่งการไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้พวกเรามีแรงบันดาลใจสำหรับการเดินทางบนเส้นทางแห่งการกลับใจ

            ก่อนอื่น คือ จุดเริ่มต้น พระเยซูเจ้าทรงเผชิญกับการทดลองโดยเนื่องจากความจงใจ พระองค์ไม่ได้เสด็จไปในที่กันดารเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงมีความตั้งใจแน่วแน่แค่ไหน หากแต่[พระองค์เสด็จไปที่นั่น]เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตร จึงทรงเปิดกว้างให้แก่พระจิตของพระบิดา พระเยซูเจ้าทรงยินดีรับการชี้นำทางของพระบิดาด้วยความสมัครพระทัย อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่ได้เผชิญกับการทดลองด้วยความจงใจ เพราะความชั่วร้ายนั้นมีมาก่อนเสรีภาพของเรา มันย่อมโจมตีเสรีภาพของเราจากภายในเหมือนกับเงามืดที่อยู่ภายใน และเป็นภัยคุกคามที่มีอยู่ตลอด [อย่างไรก็ตาม] เมื่อใดที่พวกเราวอนขอพระเจ้าว่า โปรดอย่านำพาเราทั้งหลายไปสู่การผจญ (เทียบ มธ. 6,13) เราจะต้องระลึกไว้ว่า พระเจ้าทรงตอบสนองคำอธิษฐานภาวนานี้แล้วผ่านทางพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นพระวจนาตถ์รับสภาพมนุษย์และทรงอยู่กับพวกเราเสมอ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใกล้ชิดกับพวกเราและทรงห่วงใยดูแลเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาแห่งการทดลองและความไม่แน่นอน ในเวลาที่[ปีศาจ]ส่งเสียงของมันให้เราได้ยิน ปีศาจเป็นบิดาแห่งคำพูดเท็จทั้งปวง (เทียบ ยน. 8,44) มันรู้จักพระวาจาของพระเจ้าแต่ไม่ยอมเข้าใจ[และน้อมรับ]พระวาจา มันจึง[ล่อหลอกพระเยซูเจ้าโดยอาศัย]การบิดเบือนและทำให้วิปริตออกนอกลู่นอกทาง นี่คือสิ่งที่มันกำลังกระทำต่อพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นอาดัมใหม่ที่เสด็จมาอยู่ในที่กันดาร เหมือนกับที่มันได้กระทำกับมนุษย์มาโดยตลอดนับตั้งแต่อาดัมในสวนเอเดน (เทียบ ปฐก. 3,1-5)

            ในเรื่องนี้ เราได้เห็นถึงวิธีการอย่างสำคัญที่[ปีศาจ]ใช้ล่อหลอกพระคริสตเจ้า [ปีศาจได้พยายามผจญพระองค์โดยอาศัย]ความสัมพันธ์ระหว่าง[พระเยซูเจ้า]กับพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาของพระองค์[เป็นช่องทาง] ปีศาจเป็นผู้ที่นำมาซึ่งการแบ่งแยกและความแตกแยก ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวกลาง ผู้นำมาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ปีศาจพยายามใช้การบิดเบือนเพื่อทำลายความผูกพันดังกล่าว และเพื่อล่อหลอกให้พระเยซูเจ้าทรงใช้ประโยชน์จาก[ความเป็นพระบุตร]ของพระองค์เอง ปีศาจกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด” (ลก. 4,3) และหลังจากที่มันพาพระองค์ไปที่ยอดพระวิหาร มันก็กล่าวอีกว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด” (ลก. 4,9) [ในอีกด้านหนึ่ง] ในยามที่พระเยซูเจ้าทรงเผชิญกับการผจญเหล่านี้ พระองค์ผู้เป็นพระบุตรพระเจ้าและทรงได้รับการทรงนำจากพระจิตเจ้า ได้ทรงเลือกหนทางแห่งการเจริญชีวิตแห่งความสัมพันธ์กับพระบิดาในฐานะบุตร นี่คือสิ่งที่[พระเยซูเจ้า]ทรงเลือก [และการเลือกของพระองค์ก็เปลี่ยนแปลง]ความสัมพันธ์ที่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นทรงมีอยู่กับพระเจ้า[พระบิดา]ให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่โอบรับทุกคน ไม่กีดกันผู้ใดเลย ความสัมพันธ์ของพระเยซูเจ้ากับพระบิดาไม่ได้เป็นสิ่งที่[พระเยซูเจ้า]มีไว้เพื่อหวงแหน (เทียบ ฟป. 2,6) ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์นำมาใช้โอ้อวดเพื่อแสวงหาความสำเร็จและดึงดูดสาวก หากแต่เป็นของประทานที่พระองค์ทรงนำมาแบ่งปันกับโลก เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับความรอด

            เมื่อพวกเรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พวกเราเองก็ต้องเผชิญกับการผจญเช่นกัน แต่เป็นการผจญในอีกหนทางหนึ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ปีศาจจะกระซิบเข้าหูพวกเราว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นพระบิดาของเรา แท้จริงนั้นพระเจ้าได้ทอดทิ้งเราไปแล้วด้วยซ้ำ ปีศาจพยายามทำให้เราคิดว่าไม่มีปังสำหรับแบ่งให้ผู้หิวโหย ไม่ต้องพูดถึงการเสกหินให้กลายเป็นปังซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ปีศาจพยายามทำให้เราคิดว่าทูตสวรรค์จะไม่มาช่วยเราเมื่อเราหกล้ม และไม่เพียงเท่านั้น มันยังพยายามทำให้เราคิดว่า โลกนี้กำลังตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของอำนาจชั่วร้ายที่ใช้แผนการอันยโสโอหังและสงครามอันโหดร้ายเป็นเครื่องมือบดขยี้ประชาชาติต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในเวลาที่ปีศาจพยายามทำให้เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกล พยายามล่อหลอกให้เราหมดหวัง แต่พระเจ้าก็ยังเสด็จมาใกล้ชิดพวกเรามากขึ้นไปอีก ด้วยการมอบชีวิตของพระองค์เพื่อการไถ่กู้โลกนี้

            แง่มุมที่สาม คือ ผลที่เกิดจากการผจญ พระเยซูเจ้าผู้ทรงได้รับเจิมจากพระเจ้า ทรงเอาชนะความชั่วร้าย ทรงขับไล่ปีศาจ แต่ปีศาจก็ยังรอคอย “เวลาที่เหมาะสม” (ลก. 4.13) เพื่อที่จะได้กลับมาผจญพระองค์อีก นี่คือสิ่งที่พระวรสารเล่าให้พวกเราฟัง และเป็นสิ่งที่เราจะย้อนกลับมานึกถึงในยามที่พระเยซูเจ้าทรงถูกผจญอีกครั้งที่เนินกอลโกธา[ด้วยคำกล่าวที่]ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากไม้กางเขนซิ” (มธ. 27,40; เทียบ ลก. 23,35) ปีศาจถูกเอาชนะในที่กันดาร แต่ชัยชนะของพระคริสตเจ้าในครั้งนั้นยังไม่เด็ดขาด ไม่เหมือนกับชัยชนะของพระองค์ภายในธรรมล้ำลึกแห่งปัสกา คือ การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์

            ขณะที่พวกเรากำลังเตรียมฉลอง[ธรรมล้ำลึกแห่งปัสกา]ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อของเรา เราย่อมมองเห็นความจริงที่ว่า เมื่อเราแต่ละคนถูกผจญ ผลของการผจญนั้นก็ย่อมแตกต่างกันไป บางครั้งเราอาจล้มลง เพราะว่าเราทุกคนเป็นคนบาป แต่ความพ่ายแพ้ของเราไม่ใช่ความพ่ายแพ้ที่เด็ดขาด เหตุว่าทุกครั้งที่เราล้มลง พระเจ้าย่อมจะทรงพยุงเราขึ้นด้วยความรักและการอภัยอันพ้นประมาณของพระองค์ การผจญที่เราต้องเผชิญนั้นย่อมไม่จบลงด้วยความล้มเหลว เพราะว่าในพระคริสตเจ้า เราทั้งหลายล้วนได้รับการไถ่กู้ให้พ้นจากความชั่วร้าย เมื่อใดที่เราทั้งหลายเดินทางผ่านที่กันดารไปด้วยกันกับพระองค์ นั่นก็จะเป็นการที่เราเดินไปบนเส้นทางที่ไม่มีใครเคยเดินมาก่อน เป็นเส้นทางใหม่แห่งการปลดปล่อยและการไถ่กู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเปิดออกต่อหน้าพวกเรา และถ้าเราติดตามพระองค์ไปด้วยความเชื่อ เราก็จะเปลี่ยนจากการเป็นผู้เร่ร่อนพเนจร กลายเป็นผู้จาริก

            พี่น้องชายหญิงที่รัก พ่อขอเชิญชวนให้พวกลูกเริ่มต้นการเดินทางแห่งมหาพรตในทำนองนี้ และเนื่องจากสิ่งหนึ่งที่จำเป็นในการเดินทางคือ “น้ำใจดี” ที่พระจิตเจ้าทรงเกื้อหนุนให้เกิดมีขึ้นในเราทั้งหลายเสมอ พ่อจึงมีความยินดีที่จะได้ทักทายบรรดาจิตอาสาผู้มีน้ำใจดี ที่ได้มาอยู่ที่กรุงโรมในวันนี้เพื่อร่วมกิจกรรมจาริกแสวงบุญ[สำหรับบรรดาจิตอาสา] พ่อขอขอบใจลูกทุกคนด้วยใจจริง เพราะว่าลูกได้เอาอย่างพระเยซูเจ้าในการรับใช้เพื่อนบ้านอย่างไม่เห็นแก่ตนเอง ทั้งบนท้องถนนและตามบ้านเรือน ในการอยู่เคียงข้างคนป่วย คนทุกข์ทรมาน คนที่ถูกจองจำ บรรดาเยาวชน และบรรดาคนชรา ความใจกว้างและความมุ่งมั่นของลูกในการมอบความหวังให้แก่สังคมทั้งมวลของพวกเราภายในที่กันดารแห่งความยากจนและความโดดเดี่ยวนั้น [ไม่ว่าจะ]เป็นการกระทำเล็กน้อยแค่ไหน แต่นั่นก็ย่อมช่วยให้มนุษยธรรมอย่างใหม่ได้ผลิดอกออกมาภายในอุทยานแห่งความปรารถนาที่พระเจ้าทรงมีให้แก่พวกเราทุกคน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือว่าในเวลาใดก็ตาม