สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
General Audience/การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป
ณ หอประชุมใหญ่เปาโลที่หก นครรัฐวาติกัน
เมื่อวันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2024


คำสอน : คุณธรรมและพยศชั่ว (18) ความเชื่อ
เจริญพรมายังพี่น้องที่รัก อรุณสวัสดิ์
วันนี้พ่ออยากจะพูดเรื่องคุณธรรมแห่งความเชื่อ ซึ่งเป็นคุณธรรมทางเทววิทยาอย่างหนึ่ง ร่วมกับความรัก และความหวัง คุณธรรมทางเทววิทยามีสามประการ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก คุณธรรมเหล่านี้มีความเป็นเทววิทยาอย่างไร นี่เป็นเพราะว่า การเจริญชีวิตด้วยคุณธรรมทางเทววิทยาทั้งสามประการนี้ เป็นสิ่งที่จะทำได้ต่อเมื่ออาศัยของประทานจากพระเจ้าเท่านั้น คุณธรรมทางเทววิทยาทั้งสามประการเป็นของประทานอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่สำนึกทางศีลธรรมของเรา หากว่าเราไม่มีของประทานเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะเป็นคนที่รอบคอบ ยุติธรรม กล้าหาญ และรู้ประมาณ แต่เราก็จะไม่มีสายตาที่มองเห็นในความมืด เราจะไม่มีหัวใจที่รักผู้อื่นได้แม้ในยามที่ไม่มีใครมารักเรา และเราก็จะไม่มีความหวังได้ท่ามกลางภาวะที่ทุกอย่างดูหมดหวัง
คำถามมีอยู่ว่า อะไรคือความเชื่อ หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกกล่าวอธิบายไว้ว่า ความเชื่อคือการที่มนุษย์ยอมมอบตนเองอย่างเสรีต่อพระเจ้า (ข้อ 1814) ในแง่นี้ อับราฮัมเป็นบิดาผู้ยิ่งใหญ่แห่งความเชื่อ ท่านได้ยินยอมละทิ้งดินแดนของบรรพบุรุษของท่านเอง เพื่อออกเดินทางมุ่งสู่ดินแดนที่พระเจ้าจะทรงแสดงแก่ท่าน เมื่อท่านทำเช่นนี้ คนอื่นอาจจะมองท่านว่าเป็นคนเสียสติ ทำไมท่านจึงละทิ้งสิ่งที่รู้จักอยู่แล้วไปหาสิ่งที่ไม่รู้จัก ทำไมถึงละทิ้งสิ่งที่แน่นอนไปหาสิ่งที่ไม่แน่นอน แล้วท่านทำแบบนี้เพราะอะไร ท่านเสียสติไปแล้วหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ท่านก็ได้ออกเดินทางไปราวกับว่าท่านมองเห็นบางอย่างที่คนมองไม่เห็น พระคัมภีร์กล่าวถึงอับราฮัมว่า “เขาออกเดินทางไปโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน” (ฮบ. 11,8) นี่เป็นเรื่องสวยงาม และสิ่งที่ท่านมองไม่เห็นนี้เองที่จะเป็นเหตุผลอีกครั้งให้ท่านขึ้นภูเขาไปกับอิสอัค ผู้เป็นบุตรคนเดียวแห่งพระสัญญา [และนำเขาไปเป็นเครื่องบูชายัญ] ซึ่งในที่สุดก็ได้ถูกละเว้นไม่ต้องเป็นเครื่องบูชายัญในชั่วขณะท้ายสุดเท่านั้น อาศัยความเชื่ออันนี้ อับราฮัมจึงได้เป็นบิดาของวงศ์ตระกูลที่มีลูกหลานสืบเนื่องยาวนาน [เราจะเห็นได้ว่า] ความเชื่อทำให้ท่านบังเกิดผลอันอุดม
โมเสสก็เป็นบุคคลแห่งความเชื่อ ถึงแม้ว่าแม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างอาจทำให้ท่านลังเลสงสัยก็ตาม แต่ท่านก็ได้น้อมรับเสียงเรียกของพระเจ้า และได้ยืนหยัดมั่นคง มีความไว้วางใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากนี้ท่านก็ยังได้แก้ต่างแทนผู้คนที่บ่อยครั้งไม่ได้มีความเชื่ออย่างเพียงพอด้วย
พระแม่มารีย์ก็เป็นบุคคลแห่งความเชื่อ เมื่อท่านได้รับสารจากทูตสวรรค์ ซึ่งหลายคนอาจไม่ยอมรับเพราะมองว่าเป็นการเรียกร้องที่มากเกินไปและมีความเสี่ยงมากเกินไป แต่ท่านก็ได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก. 1,38) ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเชื่อและความไว้วางใจต่อพระเจ้าเช่นนี้เอง ที่แม่พระได้ออกเดินทางไปบนเส้นทางอันหนึ่ง ถึงแม้ท่านจะไม่รู้ว่าเส้นทางนั้นมุ่งไปทางใด หรือมีอันตรายอย่างใดบ้างก็ตาม
ความเชื่อเป็นคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นคริสตชน เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นคริสตชน ไม่ใช่การยอมรับวัฒนธรรมบางอย่างหรือค่านิยมที่มากับวัฒนธรรมนั้น หากแต่เป็นการน้อมรับและทะนุถนอมความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงมีกับเรา ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเยซูเจ้า [ผู้ทรงเผยซึ่ง]พระพักตร์อันอ่อนโยนเป็นมิตร ความสัมพันธ์นี้เองที่ทำให้เราทั้งหลายเป็นคริสตชน
เกี่ยวกับความเชื่อนี้ พ่อนึกถึงเรื่องหนึ่งในพระวรสาร เป็นเรื่องเมื่อครั้งที่บรรดาศิษย์กำลังจะ[นั่งเรือ]ข้ามทะเลสาบ และต้องพบกับพายุอย่างที่ไม่คาดคิด บรรดาศิษย์คิดว่าพวกตนสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยกำลังแขนและด้วยสิ่งที่พวกตนได้รับรู้จากประสบการณ์ของตน แต่ปรากฏว่าน้ำกลับไหลเข้าเรือจนแทบจะเต็ม ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นกลัว (เทียบ มก. 4,35-41) พวกเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีทางออกอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว กล่าวคือ พระเยซูเจ้า [ผู้ซึ่ง]ประทับอยู่กับเขาบนเรือท่ามกลางลมพายุ พระวรสารกล่าวว่า [ขณะนั้น]พระเยซูเจ้า “บรรทมหลับ” (มก. 4,38) เมื่อบรรดาศิษย์ปลุกพระองค์ขึ้นได้ในท้ายที่สุด พวกเขากำลังมีความหวาดกลัว และถึงขนาดโกรธเคืองพระเยซูเจ้า [เพราะเขาคิดว่า]พระเยซูเจ้าจะปล่อยให้พวกเขาตาย [อย่างไรก็ตาม] พระเยซูเจ้าได้ทรงตำหนิบรรดาศิษย์ว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” (มก. 4,40)
ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของความเชื่อ ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดหรือปัญญารู้คิดดังที่บางคนชอบพูดซ้ำ ๆ อย่างหมกมุ่น หากแต่ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของความเชื่อ คือ ความกลัว ด้วยเหตุนี้เอง ความเชื่อจึงเป็นของประทานอย่างแรก[ที่เรา]ควรน้อมรับภายในชีวิตคริสตชน เป็นของประทานที่จะต้องน้อมรับและวอนขอในแต่ละวัน เพื่อที่ความเชื่อนี้จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นในเรา ความเชื่ออาจดูเหมือนว่าเป็นของประทานที่เล็กน้อย หากแต่[ที่จริงแล้ว]มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในตอนที่พวกเราจะรับศีลล้างบาป หลังจากที่พ่อแม่ของเราได้บอกชื่อที่ท่านจะตั้งให้เราแล้ว บาทหลวงจะถามพวกเขาว่า “ท่านมาขออะไรจากพระศาสนจักรของพระเป็นเจ้า” จากนั้นพ่อแม่ก็จะตอบว่า “ขอรับความเชื่อ และศีลล้างบาป”
สำหรับพ่อแม่ผู้เป็นคริสตชน เมื่อพวกเขาตระหนักถึงพระหรรษทานที่พวกตนได้รับแล้ว เขาย่อมจะวอนขอพระหรรษทานอันนี้เป็นของประทานให้แก่ลูกของตนด้วย เช่นนี้เอง บรรดาพ่อแม่ย่อมตระหนักว่า ถึงแม้จะมีปัญหาต่าง ๆ มากมายในชีวิต แต่[อาศัยพระหรรษทานอันนี้] ลูกของตนย่อมจะไม่จมอยู่ในความกลัว ให้เราสังเกตว่า ศัตรูคือความกลัว นอกจากนี้บรรดาพ่อแม่ยังรู้ด้วยว่า ถึงแม้สักวันหนึ่งพวกตนจะไม่ได้อยู่กับลูกบนโลกนี้แล้ว แต่ลูกของเขาก็ยังจะมีพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ และพระองค์ย่อมจะไม่ทรงทอดทิ้งลูกของเขาเลย ความรักของเราเองเป็นสิ่งเปราะบาง ขณะที่ความรักของพระเจ้าเป็นสิ่งเดียวที่เอาชนะความตายได้
จริงอยู่ดังที่นักบุญเปาโลอัครสาวกได้กล่าวไว้ว่า “มิใช่ทุกคนมีความเชื่อ” ( 2 ธส. 3,2) แม้ว่าพวกเราเองจะเป็นผู้เชื่อ แต่บ่อยครั้งที่เรารู้สึกถึงความจริงที่ว่า เราเองมีความเชื่อเพียงน้อยนิด บ่อยครั้งที่พระเยซูเจ้าอาจทรงตำหนิเราได้เหมือนกับที่ทรงตำหนิบรรดาศิษย์ว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แต่ความเชื่อเป็นของประทานที่น่ายินดีที่สุด เป็นคุณธรรมประการเดียวที่เราอาจอิจฉาผู้อื่นได้ เพราะว่าคนที่มีความเชื่อย่อมมีพลังอย่างหนึ่งอยู่ในตัวเขา ซึ่งพลังอันนี้ไม่ได้เป็นเพียงพลังแบบมนุษย์ จริงทีเดียวว่าความเชื่อย่อม “กระตุ้น” พระหรรษทานในตัวเรา และเปิดใจเรา[ให้เห็น]พระธรรมล้ำลึกของพระเจ้า ดังที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด’ ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน” (ลก. 17,6) ดังนั้น ขอให้เราทั้งหลายจงเอาอย่างบรรดาศิษย์ และทูลขอต่อพระเยซูเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” (ลก. 17,5) นี่เป็นบทภาวนาที่สวยงาม พ่ออยากให้เราพูดพร้อม ๆ กันว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” ให้เราทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” ให้ดังกว่านี้อีกหน่อยลูก “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” ขอขอบใจ
พระดำรัสทักทายพิเศษของสมเด็จพระสันตะปาปา
พ่อขอต้อนรับอย่างอบอุ่นต่อผู้แสวงบุญและผู้มาเยือนที่พูดภาษาอังกฤษซึ่งได้มาหาพ่อในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มจากฟินแลนด์ มอลตา เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ ยูกันดา อินเดีย มาเลเซีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ พ่อขอส่งใจใปใกล้ชิดประชาชนชาวเคนยา ซึ่งขณะนี้กำลังประสบเหตุน้ำท่วมรุนแรงที่คร่าชีวิตคนไปมากมาย ทำให้มีผู้บาดเจ็บ และก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง พ่อขอเชิญชวนให้ทุกคนอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราทั้งหลายจะเผชิญกับความยากลำบาก แต่เราก็ยังไม่ลืมความปิติยินดีของพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ พ่อขอให้ลูกทุกคน ตลอดจนครอบครัวของลูก ได้รับพระเมตตาอันเปี่ยมด้วยความรักจากพระเจ้า ผู้ทรงเป็นบิดาของเราทั้งหลาย ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดประทานพรแก่ลูกทุกคน
ท้ายสุด พ่อคิดถึงบรรดาเยาวชน คนป่วย คนชรา และคนที่เพิ่งแต่งงาน วันนี้ซึ่งเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันที่พระศาสนจักรทั่วโลกระลึกถึงนักบุญโยเซฟกรรมกร และยังเป็นการเริ่มต้นเดือนแม่พระด้วย ดังนั้น พ่ออยากจะให้ลูกทุกคนจงรับเอาครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งนาซาเร็ธเป็นแบบอย่างของครอบครัว ซึ่งเป็นประชาคมแห่งชีวิต การงาน และความรัก
นอกจากนี้ พ่อขอให้พวกเราอย่าลืมภาวนาเพื่อสันติภาพ ให้เราอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม สงครามย่อมเป็นความพ่ายแพ้เสมอ ให้เราคิดถึงยูเครนที่กำลังถูกเบียดเบียนทำร้าย พวกเขาต้องทนทุกข์มามากเหลือเกิน ให้เราคิดถึงผู้คนในปาเลสไตน์และอิสราเอลที่กำลังเผชิญกับสงคราม ให้เราคิดถึงชาวโรฮิงญาในเมียนมา และให้เราจงวอนขอสันติภาพ ให้เราจงวอนขอสันติภาพที่แท้จริงทั้งสำหรับผู้คนเหล่านี้และสำหรับโลกด้วย เป็นเรื่องน่าเสียใจว่า การลงทุนที่ก่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดในทุกวันนี้ คือการลงทุนในโรงงานผลิตอาวุธ ซึ่งนี่เป็นสิ่งเลวร้าย เพราะเป็นการหาประโยชน์จากความตาย ให้เราจงวอนขอสันติภาพ และเพื่อให้สันติภาพดำรงอยู่ต่อไปด้วย
พ่อขออวยพรลูกทุกคน
ใจความสรุปพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปา
พี่น้องที่รัก ในการเรียนคำสอนต่อเนื่องเรื่องคุณธรรมทางเทววิทยา ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และเป็นสิ่งเสริมกำลังให้แก่คุณธรรมทางศีลธรรมประการต่าง ๆ นั้น วันนี้เราจะพิจารณาเรื่องความเชื่อ หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกกล่าวว่า อาศัยความเชื่อ เราทั้งหลายจึงเชื่อในพระเจ้าและในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเผยแสดงแก่เรา [อาศัยความเชื่อ] เราทั้งหลายจึงมอบตนทั้งครบอย่างเสรีไว้แก่พระองค์ (เทียบ ข้อ 1814) ในที่ต่าง ๆ ของพระคัมภีร์ เราย่อมได้เห็นแบบอย่างที่น่าประทับใจแห่งความเชื่อซึ่งแสดงออกภายในชีวิตของบุคคลมากมาย เช่น อับราฮัม โมเสส และพระแม่มารีย์ ผู้ซึ่งล้วนได้ออกเดินทางบนเส้นทางที่ไม่เคยมีใครเดินทางไป ทั้งยังอาจเต็มไปด้วยอันตรายต่าง ๆ โดยมอบตนทั้งครบด้วยความไว้วางใจไว้กับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในตัวผู้เชื่อเอง บางครั้งความเชื่อก็อาจสั่นคลอน เปิดช่องให้ความกลัวเข้าครอบงำ ขอให้เราทั้งหลายจงอย่าลืมว่า ความเชื่อเป็นของประทาน เป็นสิ่งที่เราจะต้องวอนขอด้วยความไว้วางใจในพระอานุภาพแห่งพระหรรษทานของพระเจ้าซึ่งจะมอบความมั่นคงและความแข็งแกร่งให้แก่ชีวิตของเรา ขอให้เราทั้งหลายจงเอาอย่างบรรดาศิษย์ขณะที่พวกเขาถูกพายุพัดกระหน่ำกลางทะเลสาบ ในการที่เราจะหันไปหาพระเยซูเจ้าในแต่ละวัน และวอนขอพระองค์ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” (ลก. 17,5)
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และ วรินทร เติมอริยบุตร
เก็บการสอนคำสอน General Audience ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันเพื่อการไตร่ตรอง)