
พระวรสารที่เราเพิ่งจะได้ฟังไปนั้น เป็นเรื่องราวภายหลังช่วงเวลาหนึ่งที่ยากลำบากภายในการปฏิบัติพันธกิจของพระเยซูคริสต์ เราอาจเรียกเวลาช่วงนี้ได้ว่าเป็น “ความแห้งแล้งของผู้อภิบาล” พระเยซูคริสต์ถูกนักบุญยอห์นผู้ทำพิธีล้างตั้งข้อสงสัยว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์จริงหรือไม่ พระเยซูคริสต์เสด็จผ่านหลายเมืองและได้แสดงอัศจรรย์หลายอย่าง แต่เมืองเหล่านั้นไม่ยอมกลับใจ ผู้คนกล่าวโทษพระองค์ว่าเป็นนักกินนักดื่ม แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งจะกล่าวโทษนักบุญยอห์นผู้ทำพิธีล้างว่าเขามีวัตรปฏิบัติที่เข้มงวดเกินไป (เทียบ มธ. 11,2-24) ทว่าเราได้เห็นว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้ยอมแพ้ต่อความเศร้าใจ แต่ทรงมองขึ้นไปบนสวรรค์และถวายพระพรพระบิดา ด้วยพระบิดาได้ทรงเปิดเผยพระธรรมล้ำลึกของพระอาณาจักรพระเป็นเจ้าให้แก่ผู้ต่ำต้อย “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย” (มธ. 11,25) ในเวลาแห่งความแห้งแล้งนี้ พระเยซูคริสต์ทรงมีสายพระเนตรที่เห็นได้ยาวไกลออกไป พระองค์ได้สรรเสริญปรีชาญาณของพระบิดา และทรงไตร่ตรองแยกแยะได้ถึงความดีที่เติบโตอย่างที่ไม่มีใครมองเห็น พระเยซูคริสต์ทรงเห็นเมล็ดพันธุ์ของพระวาจาที่เป็นที่ยอมรับของบรรดาคนต่ำต้อย ทรงเห็นแสงสว่างของพระอาณาจักรพระเป็นเจ้าที่ส่องทางแม้กระทั่งในยามกลางคืน
พระคาร์ดินัล บิชอป และพี่น้องที่รัก พวกเรากำลังเริ่มการประชุมซีนอดสมัยสามัญ สิ่งที่จำเป็นในที่นี้ไม่ใช่วิสัยทัศน์อย่างธรรมชาติล้วน ๆ ซึ่งทำขึ้นจากยุทธศาสตร์แบบมนุษย์ จากการคิดคำนวณผลดีผลเสียทางการเมือง หรือจากการสู้รบทางอุดมการณ์ เรื่องเหล่านี้เป็น “สิ่งอื่น” ที่ไม่ใช่เรื่องของการประชุมซีนอด หากที่ประชุมซีนอดเปิดทางให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ก็ย่อมจะนำไปสู่การเปิดประตูอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของการประชุมซีนอด สิ่งนี้เราไม่ต้องการ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อประชุมสภานิติบัญญัติหรือวางแผนการปฏิรูป พี่น้องที่รัก การประชุมซีนอดไม่ใช่สภานิติบัญญัติ ตัวเอกในการประชุมซีนอดคือพระจิตเจ้า เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อตั้งสภานิติบัญญัติ แต่เรามาเพื่อก้าวเดินไปด้วยกันภายใต้สายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ ผู้ถวายพระพรแด่พระบิดาและต้อนรับผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและถูกกดขี่ ดังนั้น ให้เราเริ่มต้นจากสายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสายพระเนตรแห่งพระพรและการต้อนรับ
1. ให้เราพิจารณาแง่มุมอย่างแรก คือความเป็นสายพระเนตรแห่งพระพร ถึงแม้ว่าพระเยซูคริสต์จะถูกผู้คนปฏิเสธ และได้เห็นจิตใจแข็งกระด้างของผู้คนมากมายรอบพระองค์ แต่พระองค์ไม่ได้ยอมให้ความผิดหวังมาจองจำพระองค์ พระองค์ไม่ได้ขมขื่นพระทัย พระองค์ไม่หยุดยั้งที่จะถวายพระพร พระทัยของพระองค์ยังคงสงบเยือกเย็นท่ามกลางพายุพัดแรง ด้วยทรงยึดมั่นในความเป็นใหญ่สูงสุดของพระบิดา
สายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ที่เป็นสายพระเนตรแห่งพระพร ยังได้เชิญชวนเราทั้งหลายให้เป็นพระศาสนจักรที่พิจารณากิจการของพระเป็นเจ้าและพิจารณาไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันด้วยจิตใจที่ชื่นชมยินดี และให้เราเป็นพระศาสนจักรที่ไม่สูญเสียกำลังใจ ไม่แสวงหาช่องโหว่ทางอุดมการณ์ ไม่ปิดตัวเองอยู่ในรั้วของอคติต่าง ๆ ไม่ดำเนินวิธีการแก้ปัญหาแบบมักง่ายสะดวกสบาย และไม่ยอมให้ฝ่ายโลกมาชี้นำว่าพระศาสนจักรต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีคลื่นลมแรงในยุคสมัยของเราก็ตาม สิ่งนี้คือปรีชาญาณฝ่ายจิตของพระศาสนจักร ที่นักบุญยอห์นที่ 23 ได้ตรัสสรุปไว้อย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “สิ่งจำเป็นอย่างแรกสุดเหนือสิ่งอื่นใด คือการที่พระศาสนจักรจะต้องไม่ออกห่างจากมรดกแห่งความจริงที่เราทั้งหลายได้รับมาจากบรรดาปิตาจารย์ แต่ในขณะเดียวกันพระศาสนจักรจะต้องมีสายตามองยังยุคปัจจุบัน มองยังปัจจัยแวดล้อมและรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ ๆ ที่ถูกนำเข้ามาในโลกยุคใหม่ ซึ่งได้เปิดหนทางใหม่ ๆ ให้แก่การอภิบาลแพร่ธรรมของคาทอลิก” (พระดำรัสในพิธีเปิดสภาสังคายนาวาติกันที่สองอย่างสง่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1962)
สายพระเนตรแห่งพระพรของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เรียกให้เราเป็นพระศาสนจักรที่นำจิตวิญญาณแห่งการแบ่งแยกและการทะเลาะโต้เถียงไปใช้เผชิญหน้ากับความท้าทายและปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบัน แต่ในทางตรงกันข้าม สายพระเนตรนี้ได้เชื้อเชิญให้เราหันไปมองพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นความสนิทสัมพันธ์ และให้เราถวายพระพรและบูชาพระองค์ด้วยความยำเกรงและความสุภาพถ่อมตน โดยยอมรับว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวของเรา เราทั้งหลาย[คือพระศาสนจักร]เป็นของพระองค์ และให้เราระลึกเสมอว่า การมีอยู่ของเราเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เดียว คือการนำพาพระองค์ไปยังโลก ดังที่นักบุญเปาโลอัครสาวกได้กล่าวไว้ว่า เราไม่มีสิ่งใดที่จะโอ้อวดได้ นอกจาก “ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (กท. 6,14) สิ่งนี้เพียงพอแล้วสำหรับเรา พระเยซูคริสต์เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา เราไม่ต้องการเกียรติยศในทางโลก เราไม่ต้องการทำให้ตนเองดูดีน่าดึงดูดในสายตาของโลก แต่เราต้องการจะออกไปหาโลก เพื่อนำความบรรเทาใจแห่งพระวรสารออกไปสู่โลก เพื่อเป็นพยานต่อความรักไม่สิ้นสุดของพระเป็นเจ้า ในหนทางที่ดียิ่งกว่า และมุ่งยังทุกคน ดังที่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ตรัสต่อที่ประชุมซีนอดครั้งหนึ่งว่า “พระเป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว พระเป็นเจ้าได้ทรงทำลายความเงียบงันอันยิ่งใหญ่ พระเป็นเจ้าได้แสดงพระองค์แล้ว คำถามสำหรับเรามีอยู่ว่า เราจะถ่ายทอดความจริงนี้แก่ผู้คนในปัจจุบันได้อย่างไร เพื่อให้ความจริงนี้ได้กลายเป็นความรอด[สำหรับผู้คนในปัจจุบัน]” (บทรำพึง ในโอกาสการประชุมใหญ่ครั้งแรกของที่ประชุมใหญ่ซีนอดของบรรดาบิชอปสมัยสามัญครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2012) นี่คือคำถามพื้นฐาน และนี่คืองานหลักของที่ประชุมซีนอด กล่าวคือ การหันสายตากลับไปมุ่งหาพระเป็นเจ้า เพื่อที่พระศาสนจักรจะทอดสายตามองยังมนุษยชาติด้วยใจเมตตา เป็นพระศาสนจักรที่เป็นหนึ่งเดียวและมีความเป็นพี่น้อง หรืออย่างน้อยก็พยายามที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันและมีความเป็นพี่น้อง เป็นพระศาสนจักรที่รับฟังและพูดคุยเสวนา เป็นพระศาสนจักรที่เป็นพระพรและเป็นกำลังใจ [เป็นพระศาสนจักร]ที่ช่วยเหลือสนับสนุนผู้คนที่แสวงหาพระเป็นเจ้า ใช้ความรักสลายความรู้สึกเมินเฉยไม่แยแส และเปิดหนทางเพื่อดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสความงามแห่งความเชื่อ เป็นพระศาสนจักรที่มีพระเป็นเจ้าเป็นศูนย์กลาง จึงย่อมไม่แตกแยกกันภายใน และไม่ดุดันแข็งกระด้างต่อภายนอก เป็นพระศาสนจักรที่พร้อมเสี่ยงที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงต้องการให้พระศาสนจักร เจ้าสาวของพระองค์ ได้เป็นเช่นนี้
2. หลังจากที่เราได้พิจารณาความเป็นสายพระเนตรแห่งพระพรแล้ว ต่อไปนี้ให้เราพิจารณาสายพระเนตรของพระคริสตเจ้า ในฐานที่เป็นสายพระเนตรแห่งการต้อนรับ แม้ว่าผู้คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดจะมองไม่เห็นกิจการของพระเป็นเจ้า แต่พระเยซูคริสต์ทรงชื่นชมยินดีในพระบิดา เพราะพระบิดาได้เปิดเผยพระองค์เองต่อคนต่ำต้อย ต่อคนเรียบง่าย ต่อคนที่มีจิตใจยากจน ครั้งหนึ่ง มีชุมชนวัดในที่หนึ่งเกิดปัญหาขึ้น ผู้คนที่นั่นต่างแสดงความคิดเห็นต่อปัญหานี้ มีคนมาเล่าให้พ่อฟังว่า ในตอนนั้น หญิงชราคนหนึ่งซึ่งเป็นคนธรรมดา ๆ และแทบจะไม่รู้หนังสือ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นราวกับว่าเป็นนักเทววิทยา เป็นความคิดเห็นที่ลึกซึ้ง และยังประกอบด้วยความอ่อนโยนและปรีชาญาณฝ่ายจิต พ่อมีความปิติยินดีเมื่อได้นึกถึงเรื่องราวครั้งนั้น [พ่อคิดว่า]เรื่องราวในขณะนั้นเป็นการเผยแสดงจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อได้ถามหญิงชราผู้นั้นว่า “บอกพ่อหน่อยเถิด ลูกได้ไปเรียนเทววิทยามาจากใคร จากโรโย มาริน นักเทววิทยาผู้ยิ่งใหญ่ใช่ไหม” คนในหมู่พวกเราที่เป็นผู้ที่มีปรีชาญาณล้วนมีความเชื่อในรูปแบบนี้ สายพระเนตรของพระพระเยซูคริสต์ตลอดชีวิตของพระองค์ เป็นสายพระเนตรที่ต้อนรับคนอ่อนแอ คนที่มีความทุกข์ทรมาน และคนที่ถูกทอดทิ้ง พระวาจาท่อนหนึ่งที่เราเพิ่งได้ยินไป เป็นสิ่งที่พระองค์ตรัสกับคนเหล่านี้โดยเฉพาะ พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน” (มธ. 11,28)
สายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสายพระเนตรแห่งการต้อนรับ ยังได้เชิญชวนให้เราเป็นพระศาสนจักรที่ต้อนรับ ไม่ใช่พระศาสนจักรที่ปิดประตูตัวเอง ยุคสมัยของเราทั้งหลายเป็นยุคสมัยที่ซับซ้อน มีความท้าทายใหม่ ๆ ในด้านวัฒนธรรมและเรื่องการอภิบาล สิ่งเหล่านี้เรียกร้องให้เราทั้งหลายมีทัศนคติภายในที่อบอุ่นและมีน้ำใจดี เพื่อที่เราจะสามารถพบปะกันได้โดยปราศจากความกลัว การพูดคุยเสวนาท่ามกลางการก้าวเดินไปด้วยกัน บนเส้นทางที่สวยงามแห่ง “การเดินทางในพระจิตเจ้า” ที่เราทั้งหลายกำลังเดินทางไปด้วยกันในฐานะประชากรของพระเป็นเจ้านี้ เราทั้งหลายสามารถเติบโตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีมิตรภาพที่สนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่เราจะสามารถมองยังความท้าทายต่าง ๆ ในยุคปัจจุบันได้ด้วยสายพระเนตรของพระองค์ และเพื่อที่เราจะเป็นดังที่นักบุญเปาโลที่ 6 ได้ตรัสไว้อย่างสวยงาม กล่าวคือ เป็นพระศาสนจักรที่ “ทำให้ตนเองเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยน” (สมณสาส์นเตือนใจ Ecclesiam suam ว่าด้วยพระศาสนจักร, ข้อ 65) เพื่อที่เราจะได้เป็นพระศาสนจักรที่มี “แอกอันอ่อนนุ่ม” (เทียบ มธ. 11,30) ไม่ยัดเยียดภาระหนักแก่ผู้คน และเป็นพระศาสนจักรที่กล่าวซ้ำ ๆ ต่อทุกคนว่า “มาเถิด ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและถูกกดขี่ มาเถิด ผู้ที่หลงทางหรือรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างไกล มาเถิด ผู้ที่ได้ปิดประตูแห่งความหวังของตน พระศาสนจักรอยู่ที่นี่เพื่อท่าน!” ประตูของพระศาสนจักรเปิดกว้างสำหรับทุกคน ทุกคน ทุกคน!
3. พี่น้องที่รัก ผู้เป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า สายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสายพระเนตรแห่งพระพรและการต้อนรับ เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เราตกสู่การผจญบางอย่างที่อันตราย กล่าวคือ การเป็นพระศาสนจักรที่เข้มงวดเหมือนด่านศุลกากร ที่ติดอาวุธตนเองเพื่อต่อสู้กับโลก และมีสายตามองไปข้างหลัง การเป็นพระศาสนจักรที่อุ่น ๆ ไม่เย็นไม่ร้อน ยอมแพ้ต่อกระแสโลก และการเป็นพระศาสนจักรที่เหน็ดเหนื่อย ปิดกั้นตนเอง ในหนังสือวิวรณ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า “ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู เพื่อที่ประตูจะได้เปิดออก” (เทียบ วว. 3,20) ทว่าพี่น้องที่รัก บ่อยครั้งพระองค์ยืนเคาะประตู แต่ทรงเคาะประตูจากข้างในพระศาสนจักร เพื่อที่ว่าเราจะได้เปิดให้พระองค์ก้าวออกไปพร้อมกับพระศาสนจักรเพื่อประกาศพระวรสารของพระองค์
ขอให้เราทุกคนก้าวเดินไปด้วยกัน ด้วยความสุภาพถ่อมตน ด้วยจิตใจที่ร้อนรน และด้วยความปิติยินดี ให้เราเดินตามรอยเท้าของนักบุญฟรันซิสแห่งอัสซีซี นักบุญแห่งความยากจนและสันติภาพ “คนโง่เพื่อพระเจ้า” ผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ในตัวเขา ผู้ที่ได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้สวมพระเยซูคริสต์เป็นอาภรณ์ (เทียบ รม. 13,14) การสละทุกสิ่งทั้งภายในและภายนอกเช่นนี้เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับเราทั้งหลาย และยังเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับบรรดาสถาบันและองค์กรต่าง ๆ ด้วย นักบุญโบนาเวนตูราได้เล่าไว้ว่า ขณะที่นักบุญฟรันซิสภาวนา พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนได้ตรัสกับเขาว่า “จงไป และซ่อมแซมพระศาสนจักรของเรา” (Legenda maior, II, 1) การประชุมซีนอดเป็นสิ่งย้ำเตือนต่อเราทั้งหลายว่า พระศาสนจักร มารดาของเรา ต้องได้รับการทำให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา ต้องได้รับ “การซ่อมแซม” ตลอดเวลา เพราะพระศาสนจักรประกอบไปด้วยคนบาปที่ได้รับการอภัย ซึ่งเป็นทั้งคนบาป และผู้ที่ได้รับการอภัย พระศาสนจักรจำเป็นต้องย้อนกลับไปหาต้นธารของพระศาสนจักร ซึ่งก็คือองค์พระเยซูคริสต์ และต้องนำตนเองกลับสู่หนทางแห่งพระจิตเจ้าในทุกเวลา เพื่อที่พระศาสนจักรจะสามารถนำพาพระวรสารของพระเยซูคริสต์ไปสู่ทุก ๆ คน ยุคสมัยของนักบุญฟรันซิสแห่งอัสซีซีเป็นยุคแห่งการต่อสู้วุ่นวายและความแตกแยก ทั้งระหว่างอำนาจฝ่ายโลกและฝ่ายศาสนา ระหว่างพระศาสนจักรกับแนวคิดมิจฉาทิฐิต่าง ๆ และระหว่างคริสตชนกับผู้ที่นับถือศาสนาอื่น แต่นักบุญฟรันซิสกลับไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิโจมตีใคร อาวุธที่ท่านใช้มีเพียงอาวุธแห่งพระวรสาร กล่าวคือ ความสุภาพถ่อมตน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การอธิษฐานภาวนา และความรักความเมตตา ให้เราทั้งหลายทำอย่างเดียวกัน คือให้เรามีความสุภาพถ่อมตน ให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เราอธิษฐานภาวนา และให้เรามีความรักความเมตตา
ถึงแม้ว่าประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า พร้อมทั้งบรรดาผู้อภิบาลจากทั่วโลก จะมีความคาดหวัง ความหวัง หรือแม้กระทั่งความหวั่นกลัวต่อการประชุมซีนอดที่พวกเรากำลังจะเริ่มประชุม แต่เราทั้งหลายจงอย่าลืมว่า การประชุมซีนอดไม่ใช่การประชุมทางการเมือง แต่เป็นการที่พระจิตเจ้าเรียกเราให้มารวมตัวกัน การประชุมซีนอดไม่ใช่การประชุมสภานิติบัญญัติที่มีการแบ่งแยกระหว่างขั้วต่าง ๆ แต่เป็นสถานที่แห่งพระหรรษทานและความสนิทสัมพันธ์ บ่อยครั้งที่พระจิตเจ้าบดขยี้ความคาดหวังต่าง ๆ ของเรา เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่เหนือกว่าที่เราได้เคยคาดคิดเอาไว้ และเหนือกว่าความรู้สึกแง่ลบของเรา บางทีพ่ออาจจะพูดได้ว่า ช่วงเวลาที่ให้ผลอันอุดมยิ่งในการประชุมนี้ คือช่วงเวลาที่เกี่ยวเนื่องกับการอธิษฐานภาวนา คือบรรยากาศแห่งการภาวนา ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกิจการในตัวเราทั้งหลาย ดังนั้น ให้เราเปิดกว้างกับพระจิตเจ้า ให้เราเรียกหาพระจิตเจ้า ผู้ทรงเป็นตัวเอก [ของการประชุมซีนอด] เราทั้งหลายจงให้พระจิตเจ้าได้เป็นตัวเอกของการประชุมซีนอด และให้เราก้าวเดินพร้อมกับพระจิตเจ้า ด้วยความวางใจ และด้วยความปิติยินดี
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)