กิจกรรมปีศักดิ์สิทธิ์สำหรับทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคง
HOLY MASS/พิธีบูชาขอบพระคุณ
บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2025 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา


[นักบุญลูกา]ผู้นิพนธ์พระวรสาร ได้บรรยายถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำที่ทะเลสาบเยนเนซาเร็ธ (เทียบ ลก. 5,1-11) โดยใช้คำกริยาสามคำ ได้แก่ พระองค์ทรงมองเห็น พระองค์เสด็จเข้าไปในเรือ และพระองค์ประทับนั่งลง พระเยซูเจ้าทรงมองเห็น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นเรือ และพระเยซูเจ้าประทับนั่งลง สิ่งที่พระเยซูเจ้าใส่ใจไม่ใช่การแสดงพระองค์ให้เป็นที่รู้จักของฝูงชน ไม่ใช่การเอาแต่ทำงาน ไม่ใช่การปฏิบัติตามภารกิจให้เสร็จไปตามตารางเวลา หากแต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่พระองค์ให้ความสำคัญอยู่เสมอคือการพบปะผู้อื่น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่น และการมีความเห็นอกเห็นใจต่อปัญหาและความล้มเหลวต่าง ๆ ซึ่งมักเป็นภาระหนักกดทับหัวใจของผู้คนทั้งหลายและพรากเอาความหวัง[ของพวกเขา]ไป
สิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ในวันนั้น พระเยซูเจ้าทรงมองเห็น เสด็จเข้าไปในเรือ และประทับนั่งลง[ในเรือ]
ประการแรก พระเยซูเจ้าทรงมองเห็น สายตาของพระองค์เป็นสายตาแห่งการไตร่ตรองแยกแยะ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีฝูงชนอยู่ที่นั่นมากมาย แต่พระองค์ก็ยังสามารถมองเห็นเรือสองลำกำลังเข้าใกล้ฝั่ง และพระองค์ก็ทรงมองเห็นไปถึงใบหน้าผิดหวังของชาวประมงที่กำลังซักล้างอวนหลังจากที่ต้องทำงานหนักทั้งคืนโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย พระเยซูเจ้าทรงมองไปยังผู้คนเหล่านั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ ขอให้พวกเราอย่าลืมสิ่งนี้ คือความเห็นอกเห็นใจของพระเจ้า เหตุว่าพระเจ้าทรงมีลักษณะ[สามประการ] ได้แก่ ความใกล้ชิด ความเห็นอกเห็นใจ และความอ่อนโยน ขอให้พวกเราอย่าลืมว่าพระเจ้าทรงใกล้ชิด ทรงอ่อนโยน และทรงเห็นอกเห็นใจเสมอ พระเยซูเจ้าได้ทอดพระเนตรไปยังใบหน้าของบรรดาชาวประมงด้วยความเห็นอกเห็นใจ พระองค์ได้ทรงรู้สึกถึงความผิดหวังและวุ่นวายใจของพวกเขาหลังจากที่ต้องทำงานทั้งคืนแต่จับปลาไม่ได้เลย จิตใจของ[บรรดาชาวประมง]ช่างว่างเปล่าเหมือนกับอวนที่พวกเขายกขึ้นมา
พ่อขออภัยลูกด้วย แต่ต่อจากนี้ พ่อจะขอให้นายจารีตอ่านบทเทศน์แทนพ่อ เพราะว่าพ่อหายใจไม่สะดวก
หลังจากที่พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นความผิดหวังของพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าไปในเรือ พระองค์ตรัสสั่งให้ซีโมนแล่นเรือออกห่างจากฝั่งเล็กน้อย จากนั้นพระองค์ก็เสด็จขึ้นเรือไป นี่เป็นการที่พระองค์ได้เสด็จเข้าไปในชีวิตของซีโมน และทรงรับแบ่งปันความรู้สึกแห่งความผิดหวังและสูญเปล่าของเขา สิ่งนี้นับว่ามีความหมายสำคัญ เหตุว่าพระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงเอาแต่ยืนอยู่แถวนั้นและมองดูเหตุการณ์ยากลำบากต่าง ๆ ก่อนที่จะบ่นตำหนิอย่างขมขื่นเหมือนกับที่เรามักจะทำกัน หากแต่พระองค์ได้ทรงริเริ่มกระทำการ พระองค์ได้เสด็จเข้าไปหาซีโมน พระองค์ได้ทรงให้เวลากับเขาในยามที่เขาประสบความยากลำบาก และพระองค์ก็ได้เลือกที่จะเสด็จเข้าไปในเรือแห่งชีวิตของซีโมน ซึ่งดูเหมือนกำลังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลที่มาจากความล้มเหลวเมื่อคืนก่อนหน้า
หลังจากนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในเรือแล้ว พระองค์ก็ทรงนั่งลง ในพระวรสารฉบับต่าง ๆ [เราย่อมเห็นว่า] การนั่งลง เป็นสิ่งที่คนที่เป็นอาจารย์กระทำเมื่อจะเริ่มสอน จริงทีเดียวว่าในที่นี้ พระวรสาร[ตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา]ก็ได้กล่าวว่า พระเยซูเจ้าทรงนั่งลงและสั่งสอนผู้คน (เทียบ ลก. 5,3) เมื่อพระองค์ได้เห็นความวุ่นวายใจในแววตาและหัวใจของบรรดาชาวประมงที่ต้องทำงานเปล่า ๆ ทั้งคืน พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าไปในเรือ[ของพวกเขา]เพื่อที่จะทรงประกาศข่าวดี เพื่อที่จะทรงนำแสงสว่างมาสู่ค่ำคืนแห่งความผิดหวัง เพื่อที่จะทรงถ่ายทอดความงามของพระเจ้าที่มีอยู่เสมอแม้ในเวลาที่ชีวิตต้องเผชิญกับความยากลำบาก และเพื่อที่จะทรงยืนยันว่า ถึงแม้ทุกอย่างจะดูไม่มีทางออก แต่ความหวังก็ยังคงมีอยู่
จากนั้น อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จมาประทับในเรือแห่งชีวิตของพวกเรา เพื่อที่จะทรงนำข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้า ผู้ทรงอยู่เคียงข้างและหนุนกำลังเราอยู่เสมอ มามอบให้แก่เรา และในเวลานั้นเอง ชีวิตก็ได้กลับมาเป็นเหมือนใหม่ ความหวังได้เกิดใหม่ ความกระตือรือร้นได้รับการฟื้นฟู ทำให้พวกเราสามารถทอดแห ลงอวนไปในทะเลได้อีกครั้ง
พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ในวันนี้ สารแห่งความหวังอันนี้ก็ยังอยู่เคียงข้างพวกเราด้วย ในโอกาสที่พวกเรากำลังเฉลิมฉลองกิจกรรมปีศักดิ์สิทธิ์สำหรับทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคง พ่อขอขอบใจลูกทุกคนที่ได้ทำหน้าที่ของตน และพ่อขอทักทายเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ตัวแทนจากบรรดาสมาคมทหาร โรงเรียนทหาร ตลอดจนเขตปกครองประจำกองทัพ และอนุศาสนาจารย์ประจำกองทัพต่าง ๆ ที่ได้มาอยู่ในที่นี้ด้วย ลูกทุกคนล้วนได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญใหญ่หลวงซึ่งครอบคลุมถึงแง่มุมต่าง ๆ มากมายในทางสังคมและการเมือง เช่น การป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงปลอดภัย การรักษากฎหมาย และการผดุงความยุติธรรม ลูกได้ไปทำหน้าที่ในที่ต่าง ๆ เช่น ในเรือนจำ และในพื้นที่แนวหน้าแห่งการต่อสู้กับอาชญากรรมและความรุนแรงรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาต่อสังคม นอกจากนี้ พ่อยังมีความระลึกถึงผู้คนที่ทำงานบรรเทาทุกข์ในยามเกิดภัยธรรมชาติ ผู้คนที่ร่วมงานรักษาสิ่งแวดล้อม ผู้คนที่ทำงานกู้ชีพในทะเล ตลอดจนผู้คนที่คอยปกป้องผู้คนเปราะบาง และส่งเสริมสันติภาพ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้องให้พวกลูกเอาอย่างพระองค์ คือให้ลูกมองเห็น เข้าไปในเรือ และนั่งลง ลูกจะต้องมองเห็น เพราะลูกมีหน้าที่เปิดตาให้กว้าง มีความตื่นตัวต่อภัยทั้งหลายที่คุกคามความดีส่วนรวม ตื่นตัวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของประชาชน และตื่นตัวต่อความเสี่ยงต่าง ๆ ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการเมืองที่พวกเรากำลังต้องเผชิญอยู่ ลูกต้องเข้าไปในเรือ เพราะเครื่องแบบของลูก ระเบียบวินัยที่ได้หล่อหลอมลูก ความกล้าหาญที่เป็นเครื่องหมายของลูก ตลอดจนคำสัตย์ปฏิญาณที่ลูกได้ให้ไว้นั้น นอกจากจะเป็นเครื่องเตือนใจให้ลูกตระหนักถึงความสำคัญของการมองเห็นความชั่วร้ายเพื่อนำมาบอกกล่าวแล้ว ยังเตือนใจให้ลูกกล้าเข้าไปใน[ที่อันตราย ซึ่งเปรียบเสมือน]เรือที่ถูกพายุโหมกระหน่ำ เพื่อที่ลูกจะได้พยายามทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้เรือนั้นอับปางลงด้วย เพราะสิ่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของลูก ซึ่งเป็นการรับใช้ความดี เสรีภาพ และความยุติธรรม และในท้ายที่สุด ลูกต้องนั่งลง เพราะการที่ลูกมีตัวตนอยู่ในเมืองและในที่ต่าง ๆ เพื่อผดุงรักษาไว้ซึ่งกฎหมายและความสงบเรียบร้อย และการที่ลูกมีส่วนในการคุ้มครองคนไร้ทางสู้นั้น ย่อมเป็นบทเรียนให้แก่พวกเราทุกคนในสังคม คือเป็นเครื่องสอนให้พวกเรารู้ว่าความดีย่อมเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ สอนให้พวกเราได้รู้ว่าความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองนั้น ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในทุกวันนี้เช่นเดียวกับในทุกยุคทุกสมัย และให้พวกเรารู้ว่า พวกเราสามารถสร้างโลกที่สอดคล้องกับมนุษยธรรม เป็นธรรม และเป็นพี่น้องกันมากขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะถูกพลังแห่งความชั่วร้ายต่อต้านอยู่ก็ตาม
ในการที่ลูกปฏิบัติงานซึ่งเป็นงานที่ต้องอุทิศชีวิตทั้งหมดเช่นนี้ ลูกย่อมมีอนุศาสนาจารย์คอยอยู่เคียงข้างลูก พวกเขาเป็นบาทหลวง เป็นผู้ที่มีความสำคัญ งานของพวกเขาไม่ใช่การอวยพรให้แก่การกระทำเลวร้ายในสงคราม ดังที่น่าเสียใจว่าเคยเกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ แต่[งานของพวกเขา]คือการเป็นตัวแทนพระเยซูคริสตเจ้าในท่ามกลางพวกลูก [ให้ลูกได้รู้ว่าพระเยซูเจ้า]ปรารถนาที่จะก้าวเดินเคียงข้างลูก รับฟังลูก และมีความเห็นอกเห็นใจให้แก่ลูก และ[ให้ลูกได้รู้ว่า]พระองค์ย่อมปรารถนาที่จะทรงเป็นกำลังใจให้ลูกก้าวเดินออกไปอีกครั้งและประทานกำลังใจให้แก่ลูกภายในการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน [หน้าที่ของอนุศาสนาจารย์]คือการมอบการสนับสนุนทางศีลธรรมและทางจิตวิญญาณ ภายในการอยู่เคียงข้างลูกในทุกย่างก้าว เพื่อช่วยให้ลูกดำเนินภารกิจภายในแสงสว่างแห่งพระวรสารและการแสวงหาความดีส่วนรวม
พี่น้องชายหญิงที่รัก พวกเราล้วนมีความขอบคุณต่อสิ่งที่ลูกกระทำอยู่ ซึ่งหลายครั้งเป็นการที่ลูกยอมรับความเสี่ยงอย่างมากมาย พ่อขอขอบใจสำหรับการที่ลูกยอมลงเรือของพวกเราที่กำลังถูกพายุโหมกระหน่ำ เพื่อคุ้มครองให้พวกเราปลอดภัย และเป็นกำลังใจให้พวกเราก้าวเดินไปโดยไม่หลงทาง แต่ในขณะเดียวกัน พ่อก็อยากเรียกร้องให้ลูกทุกคนอย่าหลงลืมวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ที่ลูกกระทำ ซึ่งวัตถุประสงค์นี้คือการส่งเสริมชีวิต คือการช่วยชีวิต และการเป็นผู้คุ้มครองชีวิตในทุกกรณี พ่อขอเรียกร้องให้ลูกทุกคนจงตื่นตัวเฝ้าระวังอยู่เสมอ จงระวังตัวไม่ให้พ่ายแพ้การผจญที่จะทำให้ลูกมีจิตวิญญาณกระหายสงคราม จงระวังตัวไม่ให้ถูกล่อลวงโดยภาพหลอนแห่งอำนาจและการใช้กำลัง จงระวังตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อที่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง และยั่วยุให้แบ่งเขาแบ่งเรา โดยว่าในโลกนี้ ใครเป็นพวกเรา เราต้องคุ้มครอง แต่ถ้าใครเป็นศัตรูของเรา เราต้องไปสู้กับเขา ขอให้ลูกจงเป็นพยานที่กล้าหาญถึงความรักของพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน และขอให้พวกเราทั้งหลายจงร่วมกันออกเดินทางไปเพื่อสร้างยุคสมัยใหม่แห่งสันติภาพ ความยุติธรรม และความเป็นพี่น้องกัน
พระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปาหลังเสร็จพิธีบูชาขอบพระคุณ และก่อนสวดบททูตสวรรค์แจ้งข่าว
พี่น้องชายหญิงที่รัก ก่อนที่จะปิดพิธีในวันนี้ พ่อขอทักทายลูกทุกคนที่มาร่วมกิจกรรมปีศักดิ์สิทธิ์สำหรับทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคง พ่อขอขอบใจผู้มีเกียรติฝ่ายบ้านเมืองทั้งหลายที่มาในที่นี้ และขอขอบใจเขตปกครองสำหรับกองทัพต่าง ๆ ตลอดจนบาทหลวงอนุศาสนาจารย์ที่ได้ทำงานอภิบาล พ่อขอส่งคำทักทายไปยังบรรดาทหารทั่วโลกด้วย และในโอกาสนี้ พ่อขอยกคำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่สองในเรื่องนี้มากล่าว[เพื่อเตือนใจ]ว่า “ในทำนองเดียวกันนั้น ผู้คนที่อุทิศตนทำงานเป็นทหารเพื่อประเทศของตน ก็ควรถือว่าตนเองเป็นผู้ปฏิบัติงานเพื่อความมั่นคงปลอดภัยและเสรีภาพของประชาชาติทั้งหลายด้วย” (สมณธรรมนูญอภิบาล Gaudium et spes ว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยใหม่, ข้อ 79) การใช้กำลังทางทหารจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันตนเองโดยชอบธรรมเท่านั้น และจะต้องไม่มีการใช้กำลังทางทหารเพื่อครอบงำประเทศอื่น นอกจากนี้ การใช้อาวุธย่อมต้องสอดคล้องกับอนุสัญญาระดับนานาชาติต่าง ๆ ว่าด้วยเรื่องความขัดแย้ง (เทียบ สมณธรรมนูญอภิบาล Gaudium et spes ว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยใหม่, ข้อ 79) และเหนือสิ่งอื่นใด จะต้องกระทำโดยเคารพต่อชีวิตและสิ่งสร้างในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ด้วย
พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาเพื่อสันติภาพ ทั้งในยูเครนที่ถูกทรมาน ในปาเลสไตน์ ในอิสราเอล ในทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ในเมียนมา ในภูมิภาคกีวู[ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก] และในประเทศซูดาน ขอให้เสียงของอาวุธในทุกหนแห่งจงเงียบลง และขอให้เสียงคร่ำครวญของผู้คนทั้งหลายที่กำลังเรียกร้องสันติภาพจงเป็นที่ได้ยินและรับฟัง
ขอให้เรามอบคำภาวนาของพวกเรานี้ไว้กับการเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์พรหมจารี ผู้เป็นราชินีแห่งสันติสุขด้วยเทอญ
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เก็บบทเทศน์ปีศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)