
คำสอน : ความกระตือรือร้นในการประกาศพระวรสาร: ความร้อนรนของผู้เชื่อในการประกาศข่าวดี (13) พยานแห่งพระวรสาร – นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์
เจริญพรมายังลูก ๆ และพี่น้องที่รัก อรุณสวัสดิ์
วันนี้เราจะมาเรียนคำสอนกันต่อผ่านทางการพิจารณาบุคคลบางท่านที่เป็นแบบอย่างสำคัญเรื่องความร้อนรนในการประกาศข่าวดี ให้พ่อย้ำเตือนความจำลูกสักหน่อยว่า สิ่งที่พ่อจะสอนคือเรื่องการประกาศพระวรสาร เรื่องความร้อนรนประกาศข่าวดี เรื่องการนำพาพระนามของพระเยซูคริสต์ มีหลายคนในประวัติศาสตร์ที่ได้กระทำสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างดียิ่ง และเป็นแบบอย่างให้แก่เรา ตัวอย่างที่เราจะพิจารณาในวันนี้คือนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ ซึ่งบางคนบอกว่าเป็นธรรมทูตหรือมิชชันนารีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคใหม่ แต่ที่จริงแล้วเราไม่สามารถกล่าวได้ว่าใครเป็นธรรมทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หรือว่าใครยิ่งใหญ่น้อยที่สุด เพราะว่าแม้กระทั่งทุกวันนี้ มีธรรมทูตหลายคนที่ไม่เป็นที่รู้จัก แต่สิ่งที่เขาทำกลับมีมากมายกว่าท่านนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์เสียอีก นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์การแพร่ธรรม เช่นเดียวกับนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู ความยิ่งใหญ่ของธรรมทูตมาจากการที่พวกเขาได้เดินทางออกไปแพร่ธรรม คนที่ออกไปแพร่ธรรมเช่นนี้มีจำนวนมาก มีทั้งพระสงฆ์ สัตบุรุษ หรือว่านักบวชหญิง มีหลายคนเดินทางไปจากอิตาลีด้วย หลายคนที่มาหาพ่อในวันนี้ก็เป็นธรรมทูต พ่อเคยอ่านประวัติของพระสงฆ์คนหนึ่งที่เขานำมาเสนอให้พ่อเพื่อพิจารณาตั้งเป็นบิชอป เขาได้เป็นธรรมทูตอยู่ที่นั่นถึงสิบปี การออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองเพื่อไปประกาศพระวรสารบนับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นี่คือความร้อนรนในการประกาศข่าวดี เราจะต้องเอาใจใส่เรื่องนี้ให้มาก และเราสามารถเรียนรู้ได้จากบรรดาชายหญิงที่เป็นแบบอย่างของเรา
นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1506 ท่านเกิดในตระกูลสูง ทว่าตกอับยากจนตระกูลหนึ่งในนาวาร์เร ทางตอนเหนือของสเปน ต่อมาท่านได้ไปศึกษาที่กรุงปารีส ตอนนั้นท่านเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เฉลียวฉลาด เป็นคนดี และฝักใฝ่ในทางโลกตามประสา แต่อยู่มาวันหนึ่งท่านได้พบกับนักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา เขาบอกให้ท่านมาปฏิบัติจิต [แบบเยสุอิต] และนั่นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน ท่านได้ละทิ้งเส้นทางความก้าวหน้าทางโลกทั้งหมด และผันตัวมาเป็นธรรมทูต ท่านได้เข้าคณะเยสุอิต และได้ปฏิญาณตน ก่อนจะต่อมาจะได้บวชเป็นพระสงฆ์ และถูกส่งไปเอเชียเพื่อประกาศพระวรสาร ในยุคนั้นการเดินทางของธรรมทูตไปยังเอเชียไม่ต่างจากการถูกส่งไปยังโลกอื่นที่ไม่รู้จัก แต่นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ได้ออกเดินทางไป เพราะท่านเปี่ยมไปด้วยความร้อนรนในการประกาศข่าวดี
ท่านเป็นหนึ่งในธรรมทูตที่มีใจร้อนรนคนแรกในยุคใหม่ ในเวลาต่อมาได้มีคนจำนวนมากที่ได้ออกเดินทางในแบบเดียวกับท่าน ด้วยความพร้อมที่จะทนรับความยากลำบากและความอันตรายใหญ่หลวงในการเดินทางไปยังแผ่นดินที่ไม่รู้จัก และพร้อมที่จะพบเจอกับผู้คนที่มีวัฒนธรรมและภาษาแบบที่เขาไม่เคยรู้จักอะไรเลย สิ่งเดียวที่เป็นแรงผลักดันคนเหล่านี้ คือความปรารถนาแรงกล้าให้ผู้คนได้รู้จักพระเยซูคริสต์และพระวรสารของพระองค์
ท่านได้ทำงานเพียง 11 ปีเศษ แต่งานที่ท่านทำกลับยิ่งใหญ่เหนือธรรมดา ระยะเวลาที่ท่านเป็นธรรมทูตมีอยู่แค่เพียง 11 ปี อาจมากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้นนิดหน่อย การเดินทางด้วยเรือในยุคนั้นทั้งยากลำบากมากและเสี่ยงอันตราย คนจำนวนมากเสียชีวิตระหว่างทางเพราะเรืออับปางหรือเจอโรคระบาด (เป็นที่น่าเศร้าใจว่าแม้แต่ในยุคปัจจุบันนี้การเดินทางด้วยเรือก็ยังทำให้มีคนตาย แต่เหตุผลนั้นกลับเป็นเพราะว่าเราปล่อยให้เขาตายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ ใช้เวลารวมถึงกว่าสามปีครึ่งบนเรือ คิดเป็นหนึ่งในสามส่วนของช่วงเวลาทั้งหมดที่ท่านได้ทำงานแพร่ธรรม ท่านต้องเดินทางในเรือไป ๆ มา ๆ เป็นเวลารวมถึงสามปีครึ่ง ซึ่งในการเดินทางเหล่านี้ มีทั้งจากยุโรปไปอินเดีย และจากอินเดียไปญี่ปุ่น
ท่านเดินทางมาถึงเมืองกัว ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอินเดีย และขณะนั้นเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครอง วัฒนธรรม และการค้าของดินแดนโปรตุเกสในโลกตะวันออก ท่านตั้งฐานปฏิบัติงานที่นั่น แต่ไม่ได้อยู่ที่นั่นนานนัก เพราะท่านได้เดินทางต่อไปประกาศพระวรสารให้แก่ชาวประมงที่ยากจนทางชายฝั่งตอนใต้ของอินเดีย ท่านยังได้สอนคำสอนและบทสวดให้แก่เด็ก ๆ ล้างบาปให้เด็ก และดูแลคนเจ็บป่วย คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านอธิษฐานภาวนาอยู่หน้าที่ฝังศพนักบุญบาร์โทโลมิว ท่านก็รู้สึกว่าท่านไม่ควรอยู่ในอินเดียต่อไปเรื่อย ๆ แต่ต้องเดินทางต่อไปอีก ท่านได้ทิ้งงานที่ได้เริ่มทำไว้ให้ผู้อื่นที่เหมาะสมรับช่วงต่อ ส่วนตัวท่านเองได้ออกเดินทางอย่างกล้าหาญไปยังหมู่เกาะมาลูกู ซึ่งอยู่ห่างไกลที่สุดในหมู่เกาะอินโดนีเซีย สำหรับธรรมทูตแล้ว ขอบฟ้าไม่ใช่ขีดจำกัด พวกเขาออกเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ พ่อคิดว่าพวกเขาช่างกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกวันนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าธรรมทูตจะไม่ต้องนั่งเรือถึงสามเดือน แต่อาจจะต้องนั่งเครื่องบินยี่สิบสี่ชั่วโมงแทน แต่ความจริงก็ไม่ต่างกัน เพราะธรรมทูตทุกวันนี้ก็มีคนที่ต้องตั้งถิ่นฐานในที่ห่างไกล รวมทั้งเดินทางไกล และยังต้องทำให้ตนเองคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในป่าดงดิบด้วย สำหรับนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์นั้น พอท่านไปถึงหมู่เกาะมาลูกู ท่านก็ได้แปลหนังสือคำสอนเป็นภาษาท้องถิ่น และได้สอนให้คนที่นั่นขับร้องข้อความจากหนังสือคำสอน เพราะการขับร้องช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ได้ดีกว่า ท่านนักบุญได้ใช้เสียงเพลงเป็นประตูเพื่อสอนคำสอน ความรู้สึกของท่าน[ขณะออกแพร่ธรรม]เป็นอย่างไร เราจะเข้าใจเมื่อได้อ่านจดหมายของท่าน ท่านเขียนไว้ว่า “อันตรายและความยากลำบากทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเราได้ทนรับเพื่อความรักของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย พวกมันก็กลับกลายเป็นสมบัติมีค่าที่เต็มไปด้วยความบรรเทาใจจากสวรรค์ มากมายเหลือเกินจนถึงขนาดที่ว่า … อาจจะทำให้เราร้องไห้ด้วยน้ำตาแห่งความปิติยินดีที่มากล้นจนถึงกับตาบอดเลยก็ได้” (จดหมายถึงคณะเยสุอิตที่กรุงโรม, 21 มกราคม ค.ศ. 1548) การที่ท่านได้เห็นกิจการของพระเจ้า ทำให้ท่านร้องไห้ด้วยความปิติยินดี
วันหนึ่งตอนที่ท่านอยู่ในอินเดีย ท่านได้พบกับคนญี่ปุ่นที่เล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับประเทศของตนที่อยู่ห่างไกล และไม่มีธรรมทูตชาวยุโรปคนไหนเคยไปมาก่อน นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ รู้สึกถึงความกระวนกระวายใจต้องการจะไปแพร่ธรรม ท่านต้องการจะไปให้ไกลขึ้นอีก ท่านจึงตัดสินใจออกเดินทางให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ และหลังจากที่ต้องเดินทางผจญภัยไปบนเรือสำเภาของคนจีนผู้หนึ่ง สุดท้ายท่านก็ได้ไปถึงญี่ปุ่น ท่านใช้เวลาสามปีในญี่ปุ่น แต่ท่านต้องประสบความยากลำบากเรื่องภูมิอากาศ การพบเจอการต่อต้าน และการที่ท่านไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม เมล็ดพันธุ์ที่ท่านหว่านไว้ในญี่ปุ่นก็ได้ทำให้เกิดผลอันอุดมในเวลาต่อมา เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ที่ท่านเคยหว่านไว้แล้วในที่อื่น
ตอนที่ท่านอยู่ในญี่ปุ่น นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ ซึ่งเป็นนักฝันผู้ยิ่งใหญ่ ได้ตระหนักและเข้าใจว่าประเทศที่มีความสำคัญเด็ดขาดสำหรับงานแพร่ธรรมในเอเชียของท่านนั้น[ไม่ใช่ญี่ปุ่น] แต่เป็นประเทศจีน ซึ่งมีวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และขนาดอันมหึมา และสิ่งเหล่านี้ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีอิทธิพลเหนือภูมิภาคเอเชียตะวันออกยุคนั้นในทางปฏิบัติ (แม้กระทั่งในยุคนี้ จีนก็ถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์ยาวนานและน่าประทับใจ) เมื่อท่านคิดเช่นนี้ ท่านก็ได้เดินทางกลับมาที่เมืองกัว และหลังจากนั้นไม่นานท่านก็ขึ้นเรือออกเดินทางอีก ด้วยหวังว่าคราวนี้จะได้เข้าประเทศจีน แต่แผนของท่านล้มเหลว ท่านเสียชีวิตที่ปากทางเข้าเมืองจีน ที่เกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าเกาะซ่างชวน (คนตะวันตกในยุคนั้นสะกดชื่อว่า Sancian) บริเวณติดกับชายฝั่งของจีน ท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1552 ขณะที่ท่านกำลังรอโอกาสที่จะได้ขึ้นฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ใกล้เมืองกวางตุ้ง การรอคอยของท่านต้องสูญเปล่า ท่านต้องตายอย่างโดดเดี่ยว มีเพียงชายคนจีนคนเดียวยืนอยู่ใกล้ ๆ การเดินทางบนโลกมนุษย์ของนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ จบลงเพียงเท่านี้ ท่านตายตอนอายุเท่าไหร่ 80 กว่าปีใช่ไหม ไม่ใช่เลยลูก ท่านอายุได้แค่ 46 ปีเท่านั้น ท่านได้ใช้ชีวิตไปกับการแพร่ธรรมในที่ต่าง ๆ ด้วยความร้อนรน ท่านออกเดินทางจากสเปน ซึ่งในตอนนั้นก็เป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมากประเทศหนึ่ง เพื่อพยายามไปยังเมืองจีน ซึ่งในยุคนั้นเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก แต่ท่านกลับต้องเสียชีวิตที่ปากทางเข้าเมืองจีน โดยมีคนจีนคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง พ่อคิดว่านี่สื่ออะไรได้หลายอย่างกับเรา
นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ ทำงานหนัก แต่งานของท่านในทุกครั้งจะมาพร้อมกับการภาวนา และกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้าในทางจิตวิญญาณผ่านการเพ่งฌาน ท่านไม่เคยละทิ้งการภาวนา เพราะท่านรู้ว่าความแข็งแกร่งของท่านมาจากการภาวนา และไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ท่านก็จะไปดูแลเอาใจใส่คนป่วย คนจน และเด็ก ท่านไม่ใช่ธรรมทูตแบบ “เจ้าขุนมูลนาย” แต่ท่านอยู่เคียงข้างคนที่ขาดแคลนที่สุดเสมอ ว่าไม่ว่าเป็นคนจน คนป่วย หรือเด็ก ๆ ที่ต้องการการศึกษาและการเรียนคำสอน ท่านตั้งใจเดินทางไปยังชายขอบเพื่อดูแลผู้คน งานเช่นนี้ทำให้ท่านมีความยิ่งใหญ่ ความรักของพระเยซูคริสต์เป็นความแข็งแกร่งที่ผลักดันท่านไปสู่พรมแดนที่ห่างไกลที่สุด ช่วยให้ท่านเผชิญความยากลำบากและอันตรายที่มีอยู่ไม่หยุดหย่อน ช่วยให้ท่านเอาชนะความล้มเหลว ความผิดหวัง และการสูญเสียกำลังใจ ความรักของพระองค์ได้มอบความบรรเทาใจและความปิติยินดีให้แก่ท่าน ในการเฝ้าติดตามพระองค์และรับใช้พระองค์จนถึงวาระสุดท้าย
ขอให้นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ ซึ่งได้ทำกิจการยิ่งใหญ่เหล่านี้ท่ามกลางความยากจนและด้วยความกล้าหาญ ช่วยให้เรามีความร้อนรนในแบบท่านบ้าง เพื่อที่เราจะใช้ชีวิตตามแนวพระวรสารและประกาศพระวรสาร พ่อขอพูดต่อคนหนุ่มสาวที่รู้สึกกระวนกระวายใจในตอนนี้ และไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี ให้ลูกดูนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ ให้ลูกดูยังขอบฟ้าของโลก ให้ลูกดูผู้คนที่ตกระกำลำบากอย่างมาก ให้ลูกดูผู้คนจำนวนมากที่กำลังทุกข์ทรมาน ให้ลูกดูผู้คนจำนวนมากที่ต้องการพระเยซูคริสต์เจ้า และให้ลูกมีความกล้าหาญที่จะออกเดินทางไป ทุกวันนี้เรามีคนหนุ่มสาวที่กล้าหาญเช่นกัน พ่อคิดถึงมิชชันนารีจำนวนมาก เช่นในปาปัวนิวกินี พ่อคิดถึงเพื่อน ๆ ของพ่อซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวที่นั่น ในสังฆมณฑลวานีโม ที่ได้เดินทางไปประกาศพระวรสารตามแบบนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ พ่อขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความปิติยินดีแห่งการประกาศพระวรสารและความปิติยินดีในการยึดมั่นต่อพระวรสารให้แก่เราทุกคน สิ่งนี้เป็นสิ่งสวยงาม และทำให้ทุกคนมีความสุข รวมถึงเราด้วย
พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมีพระดำรัสทักทายพิเศษ
พ่อขอต้อนรับผู้แสวงบุญและผู้มาเยือนที่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งได้มาหาพ่อในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มจากอังกฤษ สกอตแลนด์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี ไต้หวัน แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในความปิติยินดีแห่งพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพ พ่ออวยพรให้ลูกและครอบครัวของลูกได้รับพระเมตตาที่เปี่ยมด้วยความรักจากพระเจ้า พระบิดาของเราทั้งหลาย ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพรลูกทุกคน
ในท้ายสุดนี้เหมือนเช่นเคย พ่อคิดถึงเยาวชน คนป่วย คนชรา และคนที่เพิ่งแต่งงาน พรุ่งนี้เราจะสมโภชพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ การสมโภชนี้เตือนใจให้เราพิจารณาเหตุการณ์ที่ว่า ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้มอบหมายให้บรรดาอัครสาวกนำสารแห่งความรอดของพระองค์ไปจนสุดขอบพิภพ พ่ออยากขอลูกๆ ที่เป็นเยาวชน โดยเฉพาะนักเรียนจากหลายที่ที่ได้มาหาพ่อที่นี่ในวันนี้ ให้ลูกน้อมรับหน้าที่ประกาศข่าวดีจากพระเป็นเจ้า และให้ลูกพยายามอย่างกระตือรือร้นเพื่อรับใช้พระวรสาร พ่ออยากขอลูก ๆ ที่กำลังป่วย รวมทั้งคนแก่ ให้ลูกใช้ชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และให้มีความมั่นใจในมอบถวาย[ความทุกข์ของตน เป็น]พลังอันมีค่าเพื่อให้พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าเติบโตในโลกใบนี้ และพ่ออยากขอให้ลูก ๆ ที่เพิ่งแต่งงาน ทำครอบครัวของตนให้เป็นสถานที่ที่คนสามารถเรียนรู้การรักพระเจ้าและการเป็นพยานของพระองค์ด้วยความปิติยินดี
ขอให้เราทุกคนอธิษฐานภาวนาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อยูเครนอันเป็นที่รัก ที่นั่นมีความทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน มีความทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน ให้เราภาวนาเพื่อผู้บาดเจ็บ เพื่อเด็ก ๆ เพื่อผู้เสียชีวิต และเพื่อให้สันติภาพกลับคืนมา
พ่ออวยพรลูกทุกคน
สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิส
ลูก ๆ และพี่น้องที่รัก ในการเรียนคำสอนต่อเนื่องเรื่องความร้อนรนในการประกาศข่าวดี วันนี้เราจะดูแบบอย่างของนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ องค์อุปถัมภ์การแพร่ธรรมของคาทอลิก ท่านเกิดที่สเปน และไปศึกษาที่กรุงปารีส ที่ปารีสท่านได้พบกับนักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา และได้ร่วมกับสหายอีกไม่กี่คน ตั้งคณะเยสุอิตขึ้นมา โดยเป็นคณะที่ยินดีมอบตนรับใช้พระสันตะปาปาในการตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดต่าง ๆ ของพระศาสนจักรในขณะนั้น ยุคนั้นซึ่งตรงกับศตวรรษที่ 16 เป็นยุคแห่งการค้นพบ และมีความจำเป็นใหญ่หลวงในการแพร่ธรรมในที่ห่างไกล นักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ จึงได้ออกเดินทางไปยังโลกตะวันออก ท่านได้เริ่มงานแพร่ธรรมที่กัว โดยได้ทำงานหนักในการเทศน์สอน การโปรดศีลล้างบาป การสอนคำสอน และการดูแลคนป่วย ท่านออกเดินทางต่อจากอินเดียไปยังหมู่เกาะมาลูกู และในเวลาต่อมาท่านก็ได้ออกจากอินเดียไปยังญี่ปุ่น แต่ขณะที่ท่านมีความฝันจะเข้าถึงประเทศจีน ท่านกลับเสียชีวิตลงเสียก่อนเมื่ออายุ 46 ปีเท่านั้น บนเกาะซ่างชวนที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง[ของแผ่นดินใหญ่]จีน ความร้อนรนยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อการประกาศพระวรสาร เป็นผลที่เกิดจากชีวิตการภาวนาที่ลึกซึ้ง ประกอบกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับองค์พระเยซูคริสต์ที่เปี่ยมด้วยความรักต่อพระองค์ ขอให้แบบอย่างของนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ เป็นแรงบันดาลใจให้เราพยายามเดินหน้างานแพร่ธรรมของพระศาสนจักร ด้วยการเป็นพยานที่เปี่ยมด้วยความความปิติยินดีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพ และต่อพระวาจาของพระองค์ที่ทำให้มนุษย์ได้รับความรอด
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)