สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
General Audience/การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป
ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน
เมื่อวันพุธที่ 19 มิถุนายน 2024


การเรียนคำสอนต่อเนื่อง : พระจิตกับพระศาสนจักรผู้เป็นเจ้าสาว – พระจิตเจ้าทรงนำทางประชากรของพระเจ้าสู่พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นความหวังของเรา (4) “พระจิตเจ้าทรงสอนให้พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนา : เพลงสดุดี บทเพลงเสียงประสานแห่งการภาวนาในพระคัมภีร์”
เจริญพรมายังพี่น้องที่รัก อรุณสวัสดิ์
เพื่อเป็นการเตรียมจิตใจสำหรับปีศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะมาถึง พ่อได้เชิญชวนให้อุทิศปี 2024 นี้เป็นปีแห่ง “ซิมโฟนี” อันยิ่งใหญ่แห่งการภาวนา (หนังสือของสมเด็จพระสันตะปาปาที่มีถึงอาร์ชบิชอปฟีซีเกลลา เรื่องปีศักดิ์สิทธิ์ 2025, 11 กุมภาพันธ์ 2022) และในการเรียนคำสอนวันนี้ พ่ออยากจะเตือนใจแก่ลูกว่า พระศาสนจักรมี “ซิมโฟนี” คือบทเพลงเสียงประสานแห่งการภาวนาอยู่แล้ว ซึ่งก็คือหนังสือเพลงสดุดี ที่มีพระจิตเจ้าเป็นผู้ประพันธ์
[หนังสือเพลงสดุดีเป็นสิ่งที่คล้ายกับบทเพลงประเภทที่เรียกว่า “ซิมโฟนี”] ขณะที่บทเพลง “ซิมโฟนี” ประกอบด้วยดนตรีหลายท่อน หนังสือเพลงสดุดีนี้ก็ประกอบด้วยการอธิษฐานภาวนาหลายรูปแบบเช่นกัน มีทั้งที่เป็นการสรรเสริญ การขอบพระคุณ การวิงวอน การคร่ำครวญ การเล่าเรื่อง การไตร่ตรองด้วยปรีชาญาณ และยังมีเนื้อหาแบบอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีทั้งที่เป็นรูปแบบของการภาวนาส่วนตัว และที่เป็นการร่วมกันขับร้องโดยประชาชนทั้งมวล บทเพลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระจิตเจ้าประทานให้พระศาสนจักรของพระองค์ซึ่งเป็นเจ้าสาวได้ขับร้อง พ่อได้พูดไปในครั้งที่แล้วว่า หนังสือทุกเล่มในพระคัมภีร์ล้วนมาจากการดลใจของพระจิตเจ้า แต่หนังสือเพลงสดุดีนั้น นอกจากจะมาจากการดลใจเช่นเดียวกับหนังสือเล่มอื่น ๆ แล้ว ก็ยังเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจในเชิงบทกวีอีกด้วย
[ถึงแม้ว่าหนังสือเพลงสดุดีจะเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาเดิม แต่]หนังสือเพลงสดุดีก็มีสถานะเป็นพิเศษอยู่ในพันธสัญญาใหม่มาตลอด[เช่นกัน] โดยบางครั้ง มีการนำหนังสือเพลงสดุดีมาพิมพ์อยู่ในเล่มเดียวกับหนังสือพันธสัญญาใหม่ด้วย บนโต๊ะของพ่อตรงนี้มีหนังสือพันธสัญญาใหม่ภาษายูเครนเล่มหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นของทหารที่เสียชีวิตในสงคราม และต่อมาได้มีผู้นำมามอบให้แก่พ่อ พระคัมภีร์เล่มนี้มีเพลงสดุดีรวมอยู่ด้วย และทหารคนดังกล่าวก็ได้ใช้พระคัมภีร์เล่มนี้เพื่ออธิษฐานภาวนาเวลาที่เขาอยู่ที่แนวหน้า จริงอยู่ที่ว่า บางบทหรือบางข้อของหนังสือเพลงสดุดีไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับให้คริสตชนสวดหรือใช้เป็นคำภาวนาของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตชนในยุคปัจจุบัน เพราะว่าข้อความบางส่วนของเพลงสดุดีสะท้อนถึงสถานการณ์ทางประวัติศาสตร์บางอย่างที่ต่างจากปัจจุบัน หรือสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดทางศาสนาอย่างที่พวกเราไม่ได้มีอีกต่อไปแล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้มาจากการดลใจ [ถ้อยคำเหล่านี้มาจากการดลใจ] หากแต่เป็นการดลใจที่มีแง่มุมบางอย่างเชื่อมโยงกับยุคสมัยและขั้นตอนแห่งการเผยแสดงที่เป็นเรื่องเฉพาะเวลา [จึงไม่ได้ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย] ซึ่งประเด็นนี้ก็ไม่ต่างจากเนื้อหาส่วนมากของส่วนที่เป็นข้อบัญญัติสมัยโบราณ[ภายในพระคัมภีร์]
เราทั้งหลายควรให้ความสนใจต่อหนังสือเพลงสดุดี เหตุผลสำคัญที่สุดคือเรื่องที่ว่า หนังสือเพลงสดุดีเป็นคำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูเจ้า พระแม่มารีย์ บรรดาอัครสาวก ตลอดจนบรรดาคริสตชนทุกยุคทุกสมัยก่อนหน้าพวกเรา เวลาที่เราสวดข้อความจากหนังสือเพลงสดุดี พระเจ้าก็ย่อมจะทรงรับฟังการสวดภาวนานี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “วงออร์เคสตรา” ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือประชาคมของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ข้อความหนึ่งในจดหมายถึงชาวฮีบรูกล่าวไว้ว่า พระเยซูเจ้าเสด็จมายังโลกนี้โดยมีถ้อยคำของเพลงสดุดีอยู่ในพระทัยว่า “ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์” (เทียบ ฮบ. 10,7; สดด. 40,9) นอกจากนี้ พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกาก็ได้กล่าวว่า เมื่อพระเยซูเจ้าจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ได้ตรัสข้อความจากเพลงสดุดีอีกข้อหนึ่งว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลก. 23,46; เทียบ สดด. 31,6)
นอกจากเพลงสดุดีจะถูกใช้ภายในพันธสัญญาใหม่แล้ว ในเวลาต่อมา บรรดาปิตาจารย์และพระศาสนจักรทั้งมวล ก็ได้ใช้เพลงสดุดีเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ภายในพิธีกรรม ได้แก่ พิธีบูชาขอบพระคุณ และพิธีกรรมทำวัตรอีกด้วย นักบุญอัมโบรสได้กล่าวไว้ว่า “ถึงแม้พระคัมภีร์ทั้งหมดจะประทานพระหรรษทานของพระเจ้าออกมาเป็นลมหายใจ แต่[หนังสือ]ที่เป็นเช่นนี้เป็นพิเศษ คือหนังสืออันหอมหวานแห่งเพลงสดุดี” (คำอธิบายเพลงสดุดีสิบสองบท I, ข้อ 4, 7: Corpus Scriptorum Ecclesiasticorum Latinorum เล่ม 64, หน้า 4-7) คำพูดที่ว่า “หนังสืออันหอมหวานแห่งเพลงสดุดี” ทำให้พ่อคิดว่า พวกเราได้ภาวนาด้วยหนังสือเพลงสดุดีกันบ้างหรือไม่ พ่ออยากให้ลูกหยิบหนังสือพระคัมภีร์ขึ้นมา และลองภาวนาด้วยเพลงสดุดีสักบทหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เวลาที่ลูกเสียใจถึงบาป ลูกลองภาวนาด้วยเพลงสดุดีบทที่ [51] ดูบ้างดีไหม เพลงสดุดีหลายบทเป็นพลังให้พวกเราก้าวไปข้างหน้า พ่ออยากให้ลูกสร้างนิสัยของการภาวนาด้วยเพลงสดุดี และพ่อมั่นใจว่า [ถ้าลูกทำเช่นนี้] ในท้ายที่สุดลูกก็จะได้มีความสุข
อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่อาจเจริญชีวิตอยู่ได้ด้วยมรดกจากอดีตเพียงอย่างเดียว หากแต่พวกเราจะต้องทำให้เพลงสดุดีกลายเป็นคำอธิษฐานภาวนาของพวกเราเองด้วย นักบุญ[ยอห์น คัสซีอาโน (ราวปี 360-ราวปี 435)] ได้กล่าวไว้ว่า ในแง่หนึ่ง เราทั้งหลายจะต้องเป็น “ผู้คัดลอกจดจาร” หนังสือเพลงสดุดี กล่าวคือ เราจะต้องให้หนังสือเพลงสดุดีเป็นคำภาวนาของเรา และให้เราภาวนาด้วยบทต่าง ๆ ของหนังสือเพลงสดุดี (Conlationes, เล่ม X, ข้อ 11: Corpus Scriptorum Ecclesiasticorum Latinorum เล่ม 13, หน้า 303-306) ถ้าเรามีความประทับใจกับเพลงสดุดีบทใดหรือข้อใด ก็ขอให้เราสวดบทนั้นข้อนั้นบ่อย ๆ และนำเพลงสดุดีบทนั้นข้อนั้นมาใช้อธิษฐานภาวนาในระหว่างวันด้วย เพลงสดุดีเป็นคำอธิษฐานภาวนาที่ใช้ได้ “ทุกสถานการณ์” และไม่ว่าเราจะมีความคิดความรู้สึกแบบใด หรือมีความจำเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็ย่อมจะสามารถพบข้อความภายในหนังสือเพลงสดุดีที่แสดงออกสิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นคำภาวนาได้อย่างดีที่สุด บางครั้งการสวดภาวนาด้วยถ้อยคำบางอย่างซ้ำ ๆ อาจทำให้ถ้อยคำนั้นกลวงเปล่าไม่เกิดผล แต่เพลงสดุดีไม่เป็นเช่นนั้น [ยิ่งเราสวดภาวนาด้วยเพลงสดุดีบ่อยครั้งเท่าใด ผลที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งมากตามไปด้วย] เพราะอะไร นี่เป็นเพราะว่าเพลงสดุดีมาจากการดลใจของพระเจ้า และทุกครั้งที่เราอ่าน[หรือสวด]ข้อความจากหนังสือเพลงสดุดีด้วยความเชื่อ ถ้อยคำที่ถูกกล่าวออกมาก็ย่อมจะเป็น “ลมหายใจ” ของพระเจ้า
หากว่าความเสียใจหรือรู้สึกผิดกำลังกดทับเราอยู่เพราะว่าพวกเราเป็นคนบาป เราก็สามารถสวดร่วมกับกษัตริย์ดาวิดได้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์เถิด” (สดด. 51,1) จากเพลงสดุดีบทที่ 51 หรือถ้าเราอยากจะแสดง[ความโหยหาถึงพระเจ้าด้วย]ความรักที่ทรงพลัง ก็ขอให้เราสวดว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์ตั้งแต่เช้าตรู่ จิตใจข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์ ร่างกายข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพระองค์ เหมือนผืนดินที่แห้งผาก แห้งแล้ง ไม่มีน้ำ” (สดด. 63,1) จากเพลงสดุดีบทที่ 63 ซึ่งการที่พิธีกรรมใช้เพลงสดุดีบทนี้ในการทำวัตรเช้าของวันอาทิตย์ [วันฉลอง] และวันสมโภชต่าง ๆ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่มีความหมาย และถ้าหากว่าเรากำลังถูกโจมตีด้วยความกลัวและความกังวล ถ้อยคำจากเพลงสดุดีบทที่ 23 ที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ … แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใด ๆ” (สดด. 23,1; 23,4) ก็จะคอยช่วยเหลือพวกเรา
[การภาวนาด้วย]หนังสือเพลงสดุดี จะช่วยป้องกันไม่ให้คำภาวนาของเรากลายเป็นเพียงการวอนขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อเนื่องไม่รู้จบ เราทั้งหลายได้เรียนรู้จากบทข้าแต่พระบิดากันอยู่แล้วว่า ก่อนที่เราจะวอนขอ “อาหารประจำวัน” เราจะต้องกล่าวว่า “พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จ” เสียก่อน [การภาวนาด้วย]หนังสือเพลงสดุดี เป็นสิ่งที่จะช่วยเปิดใจของพวกเราให้สามารถภาวนาได้โดยที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง กล่าวคือ ให้เรารู้จักภาวนาด้วยการสรรเสริญ การถวายพระพร และการขอบพระคุณ ทั้งยังจะช่วยให้เราเป็นปากเสียงแทนสิ่งสร้างทั้งหลายด้วยการสรรเสริญ[พระเจ้าภายในการอธิษฐานภาวนา]ด้วย
พี่น้องที่รัก ให้เราวอนขอต่อพระจิตเจ้า ผู้ที่ได้ประทานคำพูดแก่พระศาสนจักรผู้เป็นเจ้าสาว สำหรับให้พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาต่อ[พระเยซูเจ้า] ผู้ทรงเป็นเจ้าบ่าวของพระศาสนจักร เพื่อที่พระจิตเจ้าจะโปรดช่วยเหลือเราทั้งหลาย ให้เสียงภาวนาด้วยพระวาจาดังก้องอยู่ภายในพระศาสนจักรทุกวันนี้ และทำให้ปีนี้ซึ่งเป็นปีแห่งการเตรียมจิตใจมุ่งสู่ปีศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็น “ซิมโฟนี” แห่งการภาวนาได้อย่างแท้จริง ขอขอบใจ
พระดำรัสทักทายพิเศษของสมเด็จพระสันตะปาปา
พ่อขอต้อนรับอย่างอบอุ่นต่อบรรดาผู้แสวงบุญและผู้มาเยือนที่พูดภาษาอังกฤษซึ่งได้มาหาพ่อในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มจากออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ สวีเดน ไต้หวัน แทนซาเนีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม พ่อขอให้ลูกทุกคนตลอดจนครอบครัวของลูกได้รับความปีติยินดีและสันติสุขของพระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย ขอให้พระเจ้าโปรดประทานพรแก่ลูกทุกคน
วันพรุ่งนี้เป็นวันผู้ลี้ภัยโลกของสหประชาชาติ ขอให้วันพรุ่งนี้เป็นโอกาสที่เราทั้งหลายจะให้ความสนใจและใส่ใจต่อบรรดาผู้คนที่ถูกบีบให้หนีจากถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อแสวงหาสันติภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ โดยมองว่าคนเหล่านี้เป็นพี่น้องของเรา เมื่อพวกเขาเหล่านี้ได้มาเคาะประตูแล้ว พวกเราทั้งหลายก็มีหน้าที่ต้อนรับ ช่วยเหลือ อยู่เคียงข้าง และยอมรับพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในสังคมของเรา พ่อขออธิษฐานภาวนาให้ประเทศต่าง ๆ มุ่งมั่นพยายามเพื่อที่บรรดาผู้ลี้ภัยจะได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม และเปิดโอกาสมากขึ้นให้พวกเขาได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ท้ายสุด พ่อขอส่งความคำนึงถึงบรรดาคนป่วย คนชรา คนที่เพิ่งแต่งงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเยาวชน พิธีกรรมของวันมะรืนนี้เป็นการระลึกถึงนักบุญหลุยส์ กอนซากา ความรักของท่านที่มีต่อชีวิต[ของผู้อื่น]ได้ทำให้ท่านได้อุทิศชีวิตทั้งครบของท่านเองเพื่ออุดมคติอันสูงส่งของคริสตศาสนา ขอให้ท่านนักบุญโปรดช่วยเหลือลูกทุกคน เพื่อที่ลูกจะได้ค้นพบกระแสเรียกสู่ความเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการเสียสละด้วยใจกว้างเพื่อพระเจ้าและเพื่อบรรดาพี่น้อง
พี่น้องที่รัก ขอให้เราทั้งหลายอธิษฐานภาวนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสันติภาพ สงครามย่อมเป็นความพ่ายแพ้เสมอตั้งแต่แรกเริ่ม ขอให้เราทั้งหลายภาวนาเพื่อสันติภาพ ทั้งในยูเครนที่ถูกเบียดเบียนสังหาร ทั้งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนในซูดาน เมียนมา และที่ต่าง ๆ ที่กำลังทุกข์ทรมานเพราะสงคราม ขอให้เราทั้งหลายจงภาวนาทุกวันเพื่อสันติภาพ
พ่อขออวยพรลูกทุกคน
สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปา
ภายในการเรียนคำสอนต่อเนื่องเรื่องพระจิตเจ้า วันนี้เราจะไตร่ตรองเรื่องการที่พระจิตเจ้าทรงสอนพระศาสนจักร ผู้เป็นเจ้าสาวของพระคริสตเจ้า ให้รู้จักภาวนา ขณะที่เราทั้งหลายกำลังเตรียมจิตใจมุ่งสู่ปีศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะมาถึง [ก็เป็นการสมควรที่]เราทั้งหลายจะให้ความสนใจต่อบทกวีของหนังสือเพลงสดุดี [การภาวนาด้วยหนังสือเพลงสดุดี]เป็นสิ่งที่ประชาคมของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเหมือนกับ “วงออร์เคสตรา” ที่ยิ่งใหญ่ ได้กระทำมาโดยตลอดนับตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของพระศาสนจักร หนังสือเพลงสดุดีเป็นสิ่งที่แสดงถึงท่วงทำนองท่อนต่าง ๆ ภายในบทเพลง “ซิมโฟนี” [แห่งการภาวนา] และยังเป็นเสียงสะท้อนความรู้สึกนึกคิดทุกรูปแบบในจิตใจของเราให้ออกมาเป็นคำพูด ซึ่งมีทั้งการแสดงความอัศจรรย์ใจ ความเศร้าใจ และความหวัง ยิ่งเราสวดภาวนาด้วยถ้อยคำที่มาจากการดลใจเหล่านี้[ในหนังสือเพลงสดุดี]มากเท่าใด การสวดภาวนาของเราก็จะมีพลังมาก และก่อให้เกิดผลมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ขอให้พระจิตเจ้าโปรดช่วยให้การอธิษฐานภาวนาของเราทั้งหลายมีความร่ำรวยมากขึ้นด้วยของประทานจากพระองค์ และเพื่อให้เราทั้งหลายสามารถเป็นปากเสียงแทนสิ่งสร้างทั้งมวลด้วยการสรรเสริญ[พระเจ้า]ภายในการอธิษฐานภาวนาด้วย
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร
เก็บการสอนคำสอน General audience ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)