XXXIX WORLD YOUTH DAY
วันเยาวชนโลก ครั้งที่ 39
บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
พิธีบูชาขอบพระคุณ สมโภชพระเยซูคริสตเจ้า ราชาแห่งสากลจักรวาล
ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2024
ในช่วงสิ้นปีพิธีกรรม พระศาสนจักรจะสมโภชพระเยซูคริสตเจ้า ราชาแห่งสากลจักรวาล การเฉลิมฉลองนี้เชื้อเชิญให้พวกเรามองยังพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งจะได้รับความบริบูรณ์ได้ในพระองค์ (เทียบ คส. 1,16-17) เหตุว่า “อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันถูกทำลายเลย” (ดนล. 7,14)
เมื่อเรารำพึงถึงพระคริสตราชา เราก็ย่อมจะรู้สึกประทับใจ และจิตใจของเราย่อมถูกยกให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามองดูรอบตัวเรา เรากลับเห็นหลายสิ่งที่แตกต่างออกไปเหลือเกิน ความแตกต่างเช่นนี้อาจทำให้เกิดคำถามที่น่าวุ่นวายใจขึ้นภายในหัวใจของเราว่า เราควรมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับสงคราม ความรุนแรง และภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย เราควรมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่พวกลูกที่เป็นเยาวชนจะต้องเผชิญเมื่อลูกมองไปยังอนาคต การหางานทำก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ทั้งยังมีความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมากมายและทำให้สังคมแตกแยก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีเพื่อที่จะไม่สูญเสียกำลังใจ คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญ
วันนี้เป็นวันที่พระศาสนจักรเฉลิมฉลองวันเยาวชนโลก พ่อจึงอยากเชื้อเชิญให้ลูกรำพึงไตร่ตรองพระวาจา และพิจารณาเกี่ยวกับข้อความคิดสามประการที่อาจช่วยให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างกล้าหาญ ข้อความคิดเหล่านี้ได้แก่ การกล่าวโทษ การชื่นชมยอมรับ และความจริง
เรื่องแรก คือ การกล่าวโทษ พระวรสารวันนี้กล่าวถึงตอนที่พระเยซูเจ้าทรงถูกกล่าวโทษ (เทียบ ยน. 18,33-37) พระองค์ทรงไปยืนอยู่ “ต่อหน้าศาล” ในที่นั้น ปอนทิอัส ปิลาต ซึ่งเป็นข้าหลวงของจักรวรรดิโรมัน กำลังซักถามพระเยซูเจ้า สิ่งเหล่านี้อาจมองได้ว่าเป็นภาพสื่อถึงอำนาจทั้งหลายทั้งปวงที่ได้ใช้ความรุนแรงกดขี่ข่มเหงผู้คนมากมายตลอดช่วงเวลาต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าปิลาตจะไม่ได้สนใจพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่เขาก็รู้ว่ามีผู้คนติดตามพระองค์ มีคนมองว่าพระองค์เป็นผู้นำ เป็นอาจารย์ เป็นพระเมสสิยาห์ และในฐานะที่ปิลาตเป็นข้าหลวง เขาก็ไม่อาจปล่อยให้มีความวุ่นวายใด ๆ มารบกวน “สันติภาพที่บังคับด้วยกำลัง” ภายในเขตที่เขารับผิดชอบได้ เขาจึงตัดสินใจยอมตามผู้คนฝ่ายที่เป็นศัตรูของประกาศกที่ไร้หนทางป้องกันตนเองผู้นี้ เขานำพระเยซูเจ้ามาขึ้นศาล และขู่ว่าจะประหารชีวิตพระองค์ อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงหวาดกลัว พระองค์ไม่ได้ทรงก่อกบฏ สิ่งที่พระองค์เทศน์สอนมาตลอดคือความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และการให้อภัย พระองค์ทรงซื่อสัตย์ต่อความจริงที่พระองค์ประกาศ จนถึงขั้นที่พระองค์ยอมสละชีวิตเพื่อความจริงอันนี้
เยาวชนที่รักทั้งหลาย บางครั้งเมื่อลูกติดตามพระเยซูเจ้าไป ลูกอาจรู้สึกว่าตนเองถูก “กล่าวโทษ” อาจจะเป็นที่โรงเรียน หรืออาจจะเป็นเวลาที่ลูกอยู่ในท่ามกลางเพื่อนฝูงและคนรู้จัก อาจมีบางคนพยายามทำให้ลูกคิดว่า การที่ลูกมีความซื่อสัตย์ต่อพระวรสารและค่านิยมต่าง ๆ ตามแนวพระวรสารนั้นเป็นเรื่องผิดพลาด เพราะเมื่อลูกทำเช่นนี้ ลูกก็จะไม่สามารถปรับตัวให้เป็นเหมือนกับคนอื่นได้ แต่พ่อขอให้ลูกอย่ากลัว “การตัดสินโทษ” ของผู้อื่น ลูกจงอย่าเป็นกังวล เพราะไม่ช้าก็เร็ว เสียงวิจารณ์พวกนี้ก็จะพ่ายแพ้ไป คำกล่าวโทษต่าง ๆ จะถูกพิสูจน์ว่าเป็นสิ่งผิด และค่านิยมเปลือกนอกต่าง ๆ ของเขาก็จะถูกเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวง เยาวชนที่รัก ลูกจงอย่าหลงไปตามภาพลวงต่าง ๆ พ่อขอให้พวกลูกจงกระทำตนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะความจริงนั้นย่อมเป็นรูปธรรมเสมอ ลูกจงระวังภาพลวงต่าง ๆ ให้ดี
พระเยซูเจ้าทรงสอนพวกเราว่า สิ่งที่คงอยู่ ไม่หายไปนั้น [ไม่ใช่สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นภาพลวงเหล่านี้] ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันสูญสลายไป แต่สิ่งเดียวที่คงอยู่และทำให้ชีวิตของพวกเราสวยงาม ก็คือ กิจการแห่งความรัก ขณะที่ความรักย่อมปรากฏเป็นรูปธรรมได้โดยกิจการต่าง ๆ ดังนั้นพ่อจึงขอย้ำอีกครั้งว่า อย่ากลัวว่าจะถูกโลก “ตัดสินโทษ” พ่อขอให้ลูกมีความรักต่อผู้อื่นอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ความรักอันนี้จะต้องเป็นความรักในแบบของพระเยซูเจ้า คือ เป็นการอุทิศชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้นำเราไปสู่ประเด็นที่สอง คือ การชื่นชมยอมรับ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้” (ยน. 18,36) พระวาจานี้ต้องการสื่ออะไรกันแน่ พระองค์ตรัสว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้” ทำไมพระองค์ถึงไม่พยายามแสวงหาหลักประกันความสำเร็จ ทำไมพระองค์ถึงไม่พยายามแสวงหาการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ ไม่พยายามให้ผู้คนชื่นชมยอมรับแผนการของพระองค์ ทำไมพระองค์ถึงไม่ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ และถ้าหากพระองค์ต้อง “พ่ายแพ้” ไป แล้วพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร พระเยซูเจ้าทรงมีท่าทีเช่นนี้ก็เพราะว่า พระองค์ทรงปฏิเสธวิธีคิดที่ยึดโยงกับอำนาจ (เทียบ มก. 10,42-45) พระเยซูเจ้าทรงเป็นอิสระจากวิธีคิดแบบนี้
เยาวชนที่รัก จะเป็นการดีหากว่าลูกเอาอย่างพระองค์ได้ในเรื่องนี้ ลูกอย่ายอมแพ้ต่อความปรารถนาที่จะให้คนอื่นมองเห็น ชื่นชม และยอมรับลูก เพราะว่าเมื่อใครก็ตามตกเป็นทาสของความบ้าคลั่งเช่นนี้ เขาก็ย่อมจะรู้สึกวิตกกังวล และในท้ายที่สุด เขาก็จะไปกดขี่บังคับผู้อื่น ไปเป็นศัตรูกับผู้อื่น กลายเป็นคนไม่จริงใจ ยอมตามความกดดันของสังคมรอบข้าง และยอมประนีประนอมในเรื่องต่าง ๆ เพียงเพราะอยากจะเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นมองเห็นตนเองบ้าง พ่อขอให้ลูกระวังตัวเรื่องนี้ เพราะศักดิ์ศรีของลูกไม่ใช่ของซื้อของขาย ไม่ได้มีไว้ขาย ลูกจึงต้องระวังตัวให้ดี
พระเจ้ารักลูกอย่างที่ลูกเป็น ไม่ได้รักลูกที่เปลือกนอก สำหรับพระองค์แล้ว ความฝันอันบริสุทธิ์ของลูกมีค่ายิ่งกว่าความสามารถและชื่อเสียง และเจตนาที่ซื่อสัตย์จริงใจของลูก ก็มีค่ายิ่งกว่าการเป็นที่ยอมรับของโลก ลูกอย่าหลงคารมของผู้คนที่จ้องจะหลอกลวงลูกด้วยคำสัญญาที่ไร้แก่สาร เพราะว่าพวกเขาเพียงแค่อยากจะครอบงำลูก และใช้ลูกเป็นเครื่องมือสำหรับหาประโยชน์ใส่ตน ลูกจงระวังอย่าให้ใครมาหาประโยชน์จากลูกได้ อย่าให้ใครมาตั้งเงื่อนไขผูกมัดลูก ขอให้ลูกจงเป็นอิสระ แต่ขอให้ลูกเป็นอิสระโดยสอดคล้องกับศักดิ์ศรีของตัวลูกเอง ขอให้ลูกอย่ายอมเป็น “ดาราวันเดียว” ไม่ว่าจะเป็นในสื่อสังคมออนไลน์ หรือในบริบทอย่างอื่นอย่างใดทั้งสิ้น พ่อนึกถึงเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอต้องการเป็นที่สนใจ เธอจึงแต่งหน้าอย่างเต็มไม้เต็มมือเพื่อที่จะไปงานสังสรรค์ ทั้งที่ตัวเธอเองก็หน้าตาดีอยู่แล้ว ตอนนั้นพ่อคิดว่า พอเธอแต่งหน้าเสร็จแล้ว เธอยังคงเหลืออะไร[ที่เป็นตัวตนของเธอเอง]อยู่บ้าง พ่อขอให้ลูกจงมีความจริงใจ จงมีความโปร่งใส จงเป็นอย่างที่ลูกเป็น อย่าใช้เครื่องสำอางใด ๆ ปิดบังหัวใจและจิตวิญญาณของลูก ลูกจงอย่าเป็น “ดาราวันเดียว” ในสื่อสังคมออนไลน์หรือในบริบทอื่น เพราะลูกถูกเรียกให้ฉายแสงบนท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือ ในสวรรค์ ลูกจงเป็นเหมือนกับแสงสว่างเล็ก ๆ มากมายที่ส่องแสงสะท้อนถึงความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าพระบิดา ความรักของพระองค์ถูกเผยแสดงภายในตัวตนของพวกเรา ทั้งในความรักที่ซื่อสัตย์ระหว่างคู่สมรส ความปีติยินดีที่ไร้มารยาของเด็ก ๆ ความชื่นชมยินดีของบรรดาเยาวชน การเอาใจใส่ดูแลคนชรา การอุทิศตนด้วยใจกว้างของผู้ถวายตัว ความรักความเมตตาต่อผู้ยากไร้ และความซื่อสัตย์ยึดมั่นต่อจริยธรรมภายในที่ทำงาน ขอให้ลูกคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ลูกแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขอให้ลูกคิดถึงแสงสว่างเล็ก ๆ แห่งความรักที่ซื่อสัตย์ของคู่สมรส ซึ่งเป็นสิ่งสวยงาม ให้ลูกคิดถึงความปีติยินดีที่ไร้มารยาของเด็ก ๆ ซึ่งก็เป็นความปีติยินดีที่สวยงาม ให้ลูกคิดถึงความชื่นชมยินดีของบรรดาเยาวชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกทุกคนควรจะมี ขอให้ลูกคิดถึงการเอาใจใส่คนชราด้วย พ่อขอถามลูกว่า ลูกเอาใจใส่คนชราบ้างหรือไม่ ลูกไปเยี่ยมปู่ย่าตายายบ้างหรือไม่ นอกจากนี้ พ่อขอให้ลูกเจริญชีวิตด้วยใจกว้าง มีความเมตตาต่อคนยากไร้ และมีความซื่อสัตย์ในการทำงาน สิ่งเหล่านี้คือท้องฟ้าที่แท้จริง ที่ซึ่งลูกจะฉายแสงส่องสว่างเหมือนกับดวงดาวในโลกนี้ (เทียบ ฟป. 2,15) ลูกจงอย่ารับฟังคำโกหกของคนอื่น เพราะลำพังการเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นนั้นไม่ได้ทำให้ลูกมีความสุข และไม่ได้ช่วยให้โลกนี้ดีขึ้นแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่จะทำให้ลูกมีความสุขและทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ คือของขวัญแห่งความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน ความรักไม่ใช่ของซื้อของขาย ความรักเป็นสิ่งที่มอบให้เปล่า เป็นการมอบตนเองให้แก่ผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้ย่อมจะนำพวกเราไปสู่ประเด็นที่สาม คือ ความจริง พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนี้เพื่อ “เป็นพยานถึงความจริง” (ยน. 18,37) พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้โดยการสอนให้เราทั้งหลายรักพระเจ้า และให้เราทั้งหลายรักพี่น้องชายหญิงของเรา (เทียบ มธ. 22,34-40; 1 ยน. 4,6-7) ความรักเท่านั้นที่จะทำให้ตัวตนของเราได้รับแสงสว่างและมีความหมาย (เทียบ 1 ยน. 2,9-11) [หากปราศจากความรัก] พวกเราก็ย่อมจะถูกจองจำโดยคำโกหกอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง คำโกหกนี้คืออะไร คือคำที่บอกว่า เราไม่ต้องพึ่งพาใครเลย “ตัวเราเอง” สามารถพึ่งตนเองได้ทุกอย่าง (เทียบ ปฐก. 3,4-5) ความเห็นแก่ตัวทำนองนี้เป็นรากเหง้าของความอยุติธรรมและความทุกข์ยากทั้งปวง เพราะ[ในความคิดแบบนี้ มีแต่] “ตัวเรา” ที่มองแต่ “ตัวเรา” [คิดแต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง]ด้วย “ตัวเรา” มีแต่ “ตัวเรา” อย่างเดียว ความคิดแบบนี้ย่อมมองไม่เห็นผู้อื่น และไม่อาจพูดคุยกับผู้อื่นได้ด้วย ดังนั้น ขอให้เราระวังโรคร้ายอันนี้ คือโรคร้ายแห่ง “ตัวกูของกู” ที่เอาแต่มองยัง “ตัวกูของกู”
พระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต (เทียบ ยน. 14,6) ทรงสละซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อความรอดของพวกเรา การที่พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เป็นการสอนเราว่า มีเพียงความรักเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถมีชีวิต เติบโต และมีความสุขได้สมกับศักดิ์ศรีของตัวเราเองอย่างสมบูรณ์ (เทียบ อฟ. 4,15-16) บุญราศีปีแอร์ จอร์โจ ฟรัซซาตี ซึ่งเป็นเยาวชนเหมือนกับพวกลูกนั้น เคยเขียนจดหมายถึงเพื่อนของท่านว่า ถ้าปราศจากความรัก เราทั้งหลายก็ไม่อาจเจริญชีวิตอยู่ได้ ได้แต่อยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น (เทียบ จดหมายถึงอีซีโดโร โบนีนี, 27 กุมภาพันธ์ 1925) พวกเราทั้งหลายล้วนอยากมีชีวิต ไม่ใช่แค่อยู่ไปวัน ๆ ดังนั้น เราจึงต้องพยายามเพื่อเป็นพยานถึงความจริงภายในความรักความเมตตา ด้วยการมีความรักให้แก่กันดังที่พระเยซูเจ้าทรงสอน (เทียบ ยน. 15,12)
พี่น้องชายหญิงที่รัก บางคนอาจคิดว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกนี้ “เหลือกำลัง” ที่พระเจ้าจะทรงควบคุมได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่ความจริงเลย [บางคนบอกว่า]ประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยบรรดาผู้กดขี่ บรรดาทรราช และบรรดาคนที่ยโสโอหัง แต่นี่ก็ไม่จริง[เหมือนกัน] เพราะถึงแม้ว่าความชั่วร้ายหลายอย่างที่เราทั้งหลายกำลังเผชิญอยู่จะเกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่ถูกปีศาจหลอกหลวง แต่ในท้ายที่สุด คนทุกคนย่อมถูกพระเจ้าพิพากษา [ให้ลูกคิดดูว่า] คนที่กดขี่ผู้อื่น หรือคนที่ก่อสงครามนั้น เวลาที่เขาไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เขาจะมีสีหน้าแบบไหน [เมื่อพระเจ้าทรงถามว่า] “ทำไมท่านจึงก่อสงคราม” “ทำไมท่านจึงฆ่าผู้อื่น” แล้วเขาจะตอบพระองค์ว่าอย่างไร ขอให้พวกเราคิดเรื่องนี้ แล้วก็ให้พวกเราคิดถึงตัวเองด้วย เราอาจจะไม่ได้ก่อสงคราม เราอาจไม่ได้ไปฆ่าใคร แต่เราอาจทำบาปอย่างนั้นอย่างนี้ และเมื่อพระเจ้าทรงถามเราว่า “ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ทำไมท่านจึงเอาเปรียบผู้อื่นแบบนั้น ทำไมท่านจึงใช้เงินไปกับสิ่งไร้สาระ เพื่อความฟุ้งเฟ้อของตัวท่านเอง” [แล้วเราจะตอบพระองค์ว่าอย่างไร] พระองค์ย่อมถามพวกเราเช่นนี้ด้วย [อย่างไรก็ตาม] ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงมอบเสรีภาพให้แก่เรา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเรา เมื่อใดก็ตามที่เราผิดพลาด พระองค์ก็จะทรงตักเตือนแก้ไขเรา แต่พระองค์ย่อมมีความรักให้เราอยู่ตลอด และหากว่าเรายินดีให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์ก็จะทรงช่วยให้เราลุกขึ้นได้อีกครั้ง เพื่อเดินทางต่อไปด้วยความปีติยินดี
หลังจากพิธีบูชาขอบพระคุณนี้จบลง เยาวชนจากโปรตุเกสจะส่งมอบสัญลักษณ์ของกิจกรรมวันเยาวชนโลก ได้แก่ ไม้กางเขน และรูปแม่พระความรอดของชาวโรม ให้แก่เยาวชนจากเกาหลีใต้ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหมายที่เชื้อเชิญให้เราทุกคนเจริญชีวิตตามแนวพระวรสารและนำพระวรสารนี้ไปประกาศยังทุกหนแห่งในโลกโดยไม่หยุดยั้งและไม่ย่อท้อ ทั้งยังเชื้อเชิญให้พวกเราลุกขึ้นใหม่ในทุกครั้งที่เราล้มลง ตลอดจนเชื้อเชิญให้เรามีความหวังอยู่เสมอ เหมือนกับหัวข้อของการเฉลิมฉลองในวันนี้ ซึ่งมีอยู่ว่า “ผู้มีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะก้าวเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย” (เทียบ อสย. 40,31) ขณะที่พวกลูกที่เป็นเยาวชนชาวเกาหลี จะได้รับไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นไม้กางเขนแห่งชีวิต เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะ แต่ลูกจะไม่ต้องอยู่เพียงลำพัง เพราะลูกจะได้รับรูปของแม่พระ[พร้อมกับไม้กางเขนนี้ด้วย] แม่พระเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างพวกเราเสมอเวลาที่เราเดินทางมุ่งหาพระเยซูเจ้า และแม่พระก็จะช่วยเหลือพวกเราในเวลาที่เราต้องแบกไม้กางเขน เผชิญความยากลำบากต่าง ๆ เพราะว่าท่านเป็นมารดาของพวกเรา เป็นแม่ของเรา ดังนั้น ขอให้ลูกจงระลึกถึงแม่พระอยู่เสมอ
ขอให้พวกเราจ้องมองยังพระเยซูเจ้า มองยังกางเขนของพระองค์ และมองยังพระแม่มารีย์ พระมารดาของพระองค์ ขอให้พวกเราจ้องมองโดยไม่ละสายตา หากพวกเราทำได้เช่นนี้ ถึงแม้เราจะต้องเผชิญกับความลำบากต่าง ๆ แต่เราก็จะยังคงมีพลังสำหรับก้าวเดินต่อไปข้างหน้า โดยไม่กลัวที่จะถูกกล่าวโทษ และไม่แสวงหาการชื่นชมยอมรับ เราจะก้าวเดินไปได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่าเราทั้งหลายได้รับความรอดแล้ว และด้วยความมั่นใจว่าพระแม่มารีย์อยู่เคียงข้างเรา ลูกจะก้าวเดินไปได้โดยปราศจากการประนีประนอม และปราศจากการตบแต่งปิดบังจิตใจ เพราะศักดิ์ศรีของลูกไม่จำเป็นต้องมีเครื่องสำอางอะไรมาตบแต่ง ดังนั้น ขอให้พวกเราจงก้าวต่อไปข้างหน้า ขอให้เราจงมีความชื่นชมยินดีในการเจริญชีวิตเพื่อผู้อื่น ในการมีความรักให้แก่ผู้อื่น และในการเป็นพยานถึงความจริง พ่อขอให้ลูกทุกคนอย่าสูญเสียความปีติยินดี ขอขอบใจ
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เก็บการบทเทศน์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)