
คำสอน : ความกระตือรือร้นในการประกาศพระวรสาร: ความร้อนรนของผู้เชื่อในการประกาศข่าวดี เสียงเรียกสู่การแพร่ธรรม (มธ. 9,9-13)
เจริญพรมายังลูก ๆ และพี่น้องที่รัก
วันนี้เราจะเริ่มเรียนคำสอนกันในหัวข้อใหม่ ซึ่งก็คือเรื่องความกระตือรือร้นในการประกาศพระวรสาร หรือ ความร้อนรนในการประกาศข่าวดี เรื่องนี้เป็นหัวข้อหนึ่งที่จำเป็นเร่งด่วนและสำคัญยิ่งยวดสำหรับชีวิตคริสตชน และยังเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายสำหรับพระศาสนจักรด้วย แท้จริงแล้ว ประชาคมของบรรดาศิษย์พระเยซูคริสต์เกิดขึ้นมาเพื่อการประกาศข่าวดี เพื่อการแพร่ธรรม แต่ไม่ใช่การชักจูงให้คนมาเข้าศาสนา เราต้องแยกแยะสิ่งนี้เป็นอันดับแรก เพราะว่าการแพร่ธรรม การประกาศข่าวดี และการประกาศพระวรสารนั้น เป็นคนละอย่างกับการชักจูงให้คนมาเข้าศาสนา แล้วก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้เป็นสิ่งชี้เป็นชี้ตายสำหรับพระศาสนจักร ประชาคมของบรรดาศิษย์พระเยซูคริสต์เกิดขึ้นมาเพื่อการประกาศข่าวดีและเพื่อการแพร่ธรรม พระจิตเจ้าสร้างพระศาสนจักรขึ้นมาเป็นรูปร่างเพื่อให้พระศาสนจักรมุ่งสู่ภายนอก เป็นพระศาสนจักรที่เดินไปข้างหน้า ออกเดินไปข้างนอก ไม่ปิดกั้นอยู่แต่เฉพาะในตัวเอง แต่ให้มุ่งหน้าออกสู่ภายนอก และนำพาคนอื่น ๆ ให้มาร่วมเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ ความเชื่อเองก็เช่นกัน เพราะความเชื่อเป็นสิ่งที่นำพาคนอื่น ๆ ให้มาเชื่อตามด้วย พระจิตเจ้าสร้างพระศาสนจักรเพื่อให้นำพาแสงของพระเยซูคริสต์เจ้าไปยังสุดขอบพิภพ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าในบางครั้ง ความร้อนรนในการแพร่ธรรม ซึ่งก็คือความปรารถนาจะนำข่าวดีของพระวรสารมอบให้แก่ผู้อื่นนั้น อาจลดน้อยถอยลง กลายเป็นสิ่งจืดชืด หรือในบางครั้งอาจดูเหมือนว่าความร้อนรนนี้ถูกบดบัง คริสตชนบางคนกลายเป็นคนที่ “ปิดกั้นอยู่แต่ภายใน” ไม่นึกถึงคนอื่น แต่เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตคริสตชนมองไม่เห็นขอบฟ้าของการประกาศพระวรสาร ไม่เห็นขอบฟ้าของการประกาศข่าวดี เมื่อนั้นชีวิตคริสตชนก็จะล้มป่วย ปิดกั้นอยู่แต่ในตัวเอง ถือตนเองเป็นที่ตั้ง และกลายเป็นสิ่งที่ห่อเหี่ยวลง ความเชื่อย่อมห่อเหี่ยวเมื่อปราศจากความร้อนรนในการประกาศข่าวดี ในอีกด้านหนึ่ง การประกาศข่าวดีถือเป็นออกซิเจนสำหรับชีวิตคริสตชน ซึ่งช่วยให้ชีวิตคริสตชนมีความบริสุทธิ์และมีชีวิตชีวา ดังนั้น ให้เราเริ่มก้าวเดินในหนทางของการค้นพบความกระตือรือร้นในการประกาศข่าวดีกันใหม่อีกครั้ง โดยเริ่มจากพระคัมภีร์และคำสอนของพระศาสนจักร เพื่อที่เราจะได้รับความกระตือรือร้นในการประกาศข่าวดีจากแหล่งที่เป็นต้นทาง จากนั้นเราจะไปพิจารณาเกี่ยวกับแหล่งของความกระตือรือร้นที่มีชีวิตชีวาในยุคต่อมา ซึ่งก็คือคนบางคนที่ได้ปลุกไฟแห่งความกระตือรือร้นต่อพระวรสารขึ้นอีกครั้งภายในพระศาสนจักร เพื่อที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถปลุกไฟที่พระจิตเจ้าได้จุดไว้เพื่อให้ลุกไหม้ส่องสว่างภายในตัวของพวกเราขึ้นมาอีกครั้ง
ในวันนี้ พ่ออยากจะเริ่มจากเรื่องหนึ่งในพระวรสาร ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเป็นสัญลักษณ์อยู่พอสมควร เราเพิ่งจะได้ฟังพระวรสารเรื่องกระแสเรียกของนักบุญมัทธิว อัครสาวก ซึ่งท่านเองเป็นผู้เล่าไว้ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว ตอนที่เราเพิ่งจะได้ฟังไปนั้น (มธ. 9,9-13)
ทุกอย่างเริ่มต้นจากพระเยซูคริสต์ ข้อความในพระวรสารกล่าวว่าพระองค์ทรง “เห็นชายคนหนึ่ง” มีบางคนที่มองเห็นมัทธิวอย่างที่เขาเป็นอยู่ในขณะนั้น พวกเขารู้จักมัทธิวในฐานะเป็นคนที่ “นั่งอยู่ที่ด่านภาษี” (มธ. 9,9) ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าเขาเป็นคนเก็บภาษี กล่าวคือ ผู้ที่เก็บภาษีแทนจักรวรรดิโรมันซึ่งยึดครองปาเลสไตน์อยู่ในขณะนั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาเป็นคนที่ร่วมมือกับจักรวรรดิโรมัน เป็นคนทรยศต่อประชาชาติของตน เราสามารถจินตนาการถึงความเกลียดชังที่ผู้คนมีต่อเขา เขาเป็น “คนเก็บภาษี” (publican) แต่ในสายตาของพระเยซูคริสต์ มัทธิวเป็นชายคนหนึ่ง ซึ่งชายผู้นี้มีความน่าสงสาร แต่ก็มีความยิ่งใหญ่อยู่ในตัวด้วย ให้เราพิจารณาตรงนี้ให้ดีว่า พระเยซูคริสต์ไม่ได้ทรงหยุดแค่คำคุณศัพท์ ซึ่งก็คือการอธิบายว่าใครเป็นอย่างไร แต่ทรงมองไปถึงคำนาม กล่าวคือ ทรงมองหาไปถึงตัวตนของคนผู้นั้น การดูว่าใครเป็นอย่างไรนั้นคือการกล่าวว่า “คนคนนี้เป็นคนบาป เขาเป็นคนอย่างนี้อย่างนั้น” แต่พระเยซูคริสต์ทรงมองไปถึงตัวบุคคลและใจของบุคคลนั้นว่า “นี่คือคนคนหนึ่ง นี่คือชายผู้หนึ่ง นี่คือหญิงผู้หนึ่ง” พระเยซูคริสต์ทรงมองไปถึงสาระสำคัญ คือคำนาม ไม่ได้หยุดแค่คำคุณศัพท์ พระองค์ทรงละไว้ซึ่งคำคุณศัพท์ ดังนั้น ขณะที่พวกประชาชนเว้นระยะห่างของพวกตนกับมัทธิว เพราะพวกเขามองคำคุณศัพท์ คือการที่มัทธิวเป็น “คนเก็บภาษี” แต่พระเยซูคริสต์กลับเสด็จเข้าไปหามัทธิว เพราะว่าคนทุกคนเป็นที่รักของพระเจ้า “แม้แต่คนอธรรมผู้นี้ด้วยหรือ?” ใช่แล้ว แม้แต่คนอธรรมผู้นี้ด้วย แน่นอนว่าพระวรสารกล่าวว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเพื่อคนอธรรมผู้นี้โดยเฉพาะ “เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป” สายตาของพระเยซูคริสต์เช่นนี้ ที่ทรงมองเห็นผู้อื่นว่าเป็นผู้ที่ได้รับความรักไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใคร เป็นสิ่งที่งดงามจริง ๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของความกระตือรือร้นในการประกาศพระวรสาร ทุกอย่างเริ่มจากสายตาเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากพระเยซูคริสต์
เราสามารถถามตัวเองได้ว่า เรามองคนอื่นอย่างไร บ่อยครั้งแค่ไหนที่เรามองเห็นความผิดพลาดของคนอื่น แต่ไม่เห็นความจำเป็นของเขา บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราตราหน้าผู้อื่นจากสิ่งที่เขาทำหรือสิ่งที่เขาคิด แม้แต่ในฐานะคริสตชน เรายังพูดกับตัวเองเลยว่า เขาเป็นพวกเดียวกับเราหรือไม่ นี่ไม่ใช่สายตาของพระเยซูคริสต์ เพราะว่าในทุก ๆ ครั้ง พระองค์จะทรงมองคนแต่ละคนด้วยความเมตตากรุณา และแน่นอนว่าทรงมองดูแต่ละคนด้วยความรักที่พระองค์ทรงมอบให้เขาก่อน คริสตชนถูกเรียกให้ทำตามอย่างพระเยซูคริสต์ โดยให้มองดูผู้คนในแบบที่พระองค์ทรงมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามองคนที่เราเรียกว่าเขา “อยู่ห่างไกล” แน่นอนว่าคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิวเรื่องนี้ปิดท้ายด้วยพระวาจาของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป” (มธ. 9,13) หากพวกเราคนใดคนหนึ่งมองว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม ก็จะกลายเป็นว่าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ห่างไกล พระองค์เสด็จเข้ามาหายังข้อจำกัดต่าง ๆ ของเรา พระองค์เสด็จเข้ามาหาความน่าสงสารของเรา เพื่อที่จะเยียวยาเรา
ดังนั้น ทุกอย่างจึงเริ่มต้นจากสายตาของพระเยซูคริสต์ “ทรงเห็นชายคนหนึ่ง” คือมัทธิว สิ่งที่ตามมาในขั้นที่สองคือความเคลื่อนไหว เริ่มแรกคือการมอง พระเยซูคริสต์ทรงมอง จากนั้นจึงตามด้วยขั้นที่สอง คือความเคลื่อนไหว มัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระเยซูคริสต์ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” และ “เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป” (มธ. 9,9) เขาจะเห็นว่าข้อความในพระวรสารเน้นคำว่า “เขาลุกขึ้น” ทำไมรายละเอียดนี้จึงสำคัญ เพราะว่าในสมัยนั้น คนที่นั่งอยู่เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาเพื่อฟังสิ่งที่เขาพูด หรือในที่นี้คือคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่เพื่อมาจ่ายภาษี กล่าวโดยสรุปคือ คนที่นั่งอยู่คือผู้ที่มีอำนาจ สิ่งแรกที่พระเยซูคริสต์ทรงทำคือการแยกมัทธิวออกจากอำนาจ กล่าวคือ ทรงแยกเขาออกจากการนั่งเพื่อให้คนอื่นมาหา พระองค์ทรงทำให้มัทธิวเคลื่อนไหวไปหาคนอื่น ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาหา หรือจะพูดเพิ่มอีกก็คือ พระองค์เองด้วยที่เสด็จไปหาคนอื่น พระองค์ทรงทำให้มัทธิวออกจากสถานะที่มีอำนาจสูงสุด เพื่อให้เขามายืนอย่างเท่าเทียมกับพี่น้องของเขา และทำให้เขาเปิดกว้างสู่ขอบฟ้าแห่งการรับใช้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำ และสิ่งนี้เป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับคริสตชน ให้เราถามตัวเองว่า เราทั้งหลายในพระศาสนจักรที่เป็นศิษย์ของพระเยซูคริสต์รู้จักการลุกขึ้นและออกเดินทางร่วมกับผู้อื่นเพื่อไปหาผู้อื่นหรือไม่ หรือว่าเราแค่นั่งรอให้คนอื่นมาหาอย่างเดียวพลางกล่าวไปด้วยว่า “ให้เขามาหาฉันสิ ฉันอยู่นี่ ให้เขามา” ท่าทีอย่างหลังนี้ไม่ใช่จุดยืนแบบคริสตชน เราต้องรู้จักออกไปหาคนอื่น เราต้องเป็นฝ่ายเริ่มออกเดินก้าวแรก
ขั้นแรกคือการมอง พระเยซูคริสต์ทรงมองเห็น ขั้นที่สองคือความเคลื่อนไหว มัทธิวได้ลุกขึ้น และขั้นที่สามคือจุดหมายปลายทาง หลังจากที่มัทธิวลุกขึ้นและตามพระเยซูคริสต์ไป เขาจะไปที่ไหน เราอาจจินตนาการได้ว่า เมื่อพระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชีวิตของมัทธิวแล้ว พระองค์ในฐานะอาจารย์จะทรงนำเขาไปสู่การพบปะใหม่ ๆ และประสบการณ์ฝ่ายจิตแบบใหม่ ๆ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น หรืออย่างน้อยคือไม่ใช่แบบนั้นในทันที เพราะว่าในตอนแรกสุด พระเยซูคริสต์เสด็จไปยังบ้านของมัทธิว ซึ่งเขาได้เตรียม “งานเลี้ยงใหญ่” ไว้สำหรับพระองค์ ในงานเลี้ยงนี้มี “คนเก็บภาษีจำนวนมาก” ซึ่งก็คือคนแบบเดียวกับมัทธิวร่วมงานอยู่ (เทียบ ลก. 5,20) มัทธิว กลับมายังสภาพแวดล้อมเดิมของตน แต่ตัวเขาเองนั้นได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ และได้กลับมาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ความกระตือรือร้นของมัทธิวในการประกาศข่าวดีไม่ได้เริ่มขึ้นในสถานที่ใหม่ที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน หรือในสถานที่ในอุดมคติที่อยู่ไกลออกไป แต่กลับเริ่มขึ้นในสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ ท่ามกลางคนที่เขารู้จัก นี่คือสิ่งที่พระวรสารบอกกับเราว่า เราสามารถเป็นพยานของพระเยซูคริสต์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ หรือรอจนตัวเองก้าวเดินตามพระเยซูคริสต์มาไกลแล้ว การประกาศของเราเริ่มตั้งแต่วันนี้ ในที่ที่เราอาศัยอยู่ และการประกาศไม่ได้เริ่มต้นด้วยการพยายามโน้มน้าวคนอื่น แต่เริ่มจากการเป็นพยานในทุก ๆ วันเพื่อบ่งบอกถึงความรักอันงดงามที่ได้มองมายังเราและอุ้มชูเราขึ้น ความงามเช่นนี้เองที่เมื่อถูกนำมาสื่อสารแล้วจะช่วยโน้มน้าวผู้คนได้ สิ่งที่เราสื่อสารนั้นไม่ใช่ตัวเราเอง แต่คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราทั้งหลายเป็นผู้คนที่ประกาศพระเยซูคริสต์เจ้า ไม่ใช่ประกาศตัวเราเอง เราไม่ได้ประกาศพรรคการเมืองใดหรืออุดมการณ์แบบใด แต่เราประกาศพระเยซูคริสต์ เราต้องทำให้พระเยซูคริสต์ได้ไปถึงผู้คน โดยไม่พยายามโน้มน้าวด้วยตัวเอง แต่เปิดทางให้พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้โน้มน้าว สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ [ที่ 16] ได้สอนเราว่า “พระศาสนจักรไม่ชักจูงให้คนมาเข้าศาสนา แต่พระศาสนจักรเติบโตด้วยการดึงดูด” (บทเทศน์ในพิธีบูชาขอบพระคุณเปิดการประชุมใหญ่สภาบิชอปแห่งลาตินอเมริกาและแคริบเบียน ที่อะปาเรซิดา [ในบราซิล] เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2007) อย่าลืมว่าหากเราเห็นคริสตชนพยายามชักจูงให้คนมาเข้าศาสนา โดยเขียนรายชื่อผู้คนที่จะมาร่วมกิจกรรม หรืออะไรทำนองนี้ ให้เรารู้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คริสตชน พวกเขาเป็นคนนอกศาสนาที่ปลอมตัวเป็นคริสตชน แต่จิตใจของเขาเป็นพวกนอกศาสนา พระศาสนจักรไม่ได้เติบโตด้วยการชักจูงให้คนมาเข้าศาสนา แต่เติบโตด้วยการดึงดูด
พ่อจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงบัวโนสไอเรส [ของอาร์เจนตินา] คณะนักบวชหญิงที่อยู่ที่นั่นมาแต่เดิมต้องสละหน้าที่ไปเพราะมีคนไม่พอที่จะบริหารงานโรงพยาบาล และหลังจากนั้นก็มีคณะนักบวชหญิงจากประเทศเกาหลีมารับหน้าที่แทน พอพวกเธอมาถึง พ่อจำไม่ได้ว่าวันไหน สมมติว่าเป็นวันจันทร์ก็แล้วกัน ในวันนั้นพวกเธอได้เข้าพักในบ้านของคณะนักบวชหญิง และในวันต่อมาคือวันอังคาร พวกเธอก็ได้ออกเยี่ยมคนป่วยทันที พวกเธอพูดภาษาสเปนไม่ได้เลย พูดได้แต่ภาษาเกาหลี แต่คนป่วยต่างรู้สึกดีอกดีใจและบอกว่า “เยี่ยมเลย พวกแม่ชีมาแล้ว สุดยอด สุดยอด” “แล้วซิสเตอร์เขาได้พูดอะไรกับลูกบ้างล่ะ” “ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่สายตาของเธอพูดกับลูก พวกเธอสื่อสารพระเยซูคริสต์ให้แก่ลูก” การไม่สื่อสารตัวเองแต่สื่อสารองค์พระเยซูคริสต์ ด้วยสายตา ด้วยท่าทาง สิ่งเหล่านี้เองคือการดึงดูด ซึ่งตรงกันข้ามกับการชักจูงคนให้มาเข้าศาสนา
การเป็นพยานที่น่าดึงดูดและเปี่ยมด้วยความปิติยินดีแบบนี้เอง ที่เป็นเป้าหมายซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงนำพาเราไปด้วยการที่พระองค์ทรงมองเราด้วยความรัก และด้วยการที่พระจิตของพระองค์ลุกโชนขึ้นในใจเรา ทำให้เราออกไปสู่ภายนอก เราสามารถตรึกตรองได้ว่า สายตาของเราคล้ายกับสายตาของพระเยซูคริสต์หรือไม่ สายตาของเราดึงดูดผู้คน และนำพาพวกเขาให้เข้าใกล้พระศาสนจักรมากขึ้นหรือไม่ พ่ออยากให้พวกเราคิดเรื่องนี้
พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมีพระดำรัสทักทายพิเศษ
ในท้ายสุดนี้เหมือนเช่นเคย พ่อคิดถึงเยาวชน คนป่วย คนชรา และคนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ขอให้ทุกคนเป็นผู้สร้างสันติและความปรองดอง ผ่านความตั้งใจแน่วแน่อย่างต่อเนื่องที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนใกล้ตัว ทั้งนี้ ด้วยแรงผลักดันและความมีน้ำใจดีในฐานะผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์
นอกจากนี้ พ่อขอให้เราทุกคนอย่าลืมชาวยูเครนซึ่งเสียหายหนักจากภัยสงคราม ชาวยูเครนอยู่ในใจพวกเราตลอด ให้เราแสดงความรัก ความใกล้ชิด และภาวนาเผื่อผู้คนที่กำลังต้องพบเจอความทุกข์ทรมานที่โหดร้าย และต่อจากนี้ พ่อจะสงบนิ่งสองสามนาทีต่อหน้ารูปพระมารดาแห่งปวงชน ซึ่งเป็นที่เคารพในกรุงเบลารุส เพื่อภาวนาให้แก่ชาวเบลารุส และเพื่อสันติภาพ พ่อขอเชิญชวนทุกคนให้ภาวนาร่วมกับพ่อด้วย
พ่อขออวยพรทุกคน
สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิส
ลูก ๆ และพี่น้องที่รัก ในวันนี้เราเริ่มเรียนคำสอนเรื่องใหม่เกี่ยวกับความกระตือรือร้นในการประกาศข่าวดี พระศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ ตั้งขึ้นโดยมีอัครสาวกเป็นรากฐาน เกิดขึ้นมาพร้อมกับความร้อนรนในการประกาศข่าวดี ที่พระจิตเจ้าส่งมาเพื่อทำให้แสงสว่างของพระเยซูคริสต์ส่องไปยังทุกดินแดนและทุกชนชาติ ความร้อนรนในการประกาศข่าวดีเป็นออกซิเจนสำหรับชีวิตคริสตชนของพวกเรา และเป็นตัวบ่งชี้สุขภาวะฝ่ายจิตของพระศาสนจักร เมื่อเราพิจารณาพระคัมภีร์และธรรมประเพณีที่มีชีวิตของพระศาสนจักร เราสามารถเห็นตัวอย่างแรกที่เปี่ยมด้วยวาทศิลป์จากเรื่องการเรียกนักบุญมัทธิว อัครสาวก พระวรสารเล่าให้เราฟังว่าพระเยซูคริสต์ทรง “เห็น” คนเก็บภาษีซึ่งเป็นที่เกลียดชังคนนี้ พระองค์ทรงมองยังมัทธิวด้วยสายตาที่เมตตากรุณา และทรงเรียกให้มัทธิวมาเป็นศิษย์ของพระองค์ จากนั้นมัทธิวได้ “ลุกขึ้นตามพระองค์” เขาได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาทิ้งผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมไว้ข้างหลัง และยอมรับชีวิตแห่งการเป็นศิษย์และการรับใช้คนอื่นร่วมกับพระเยซูคริสต์ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ สิ่งแรกที่มัทธิวทำคือการเชิญพระเยซูคริสต์ไปยังงานเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเสวยอาหารร่วมกับ “คนเก็บภาษีและคนบาป” อื่นอีกหลายคน สิ่งนี้อาจเป็นบทเรียนแรกของเราเกี่ยวกับความกระตือรือร้นในการประกาศข่าวดี พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัสว่า การประกาศพระเยซูคริสต์ ไม่ได้กระทำโดยการชักจูงคนให้เข้าศาสนา แต่ด้วยการดึงดูด จากความปรารถนาที่เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ที่อยากจะแบ่งปันกับผู้อื่น ให้เขาเห็นสายตาแห่งความรักของพระเยซูคริสต์ และให้เขาได้ยินพระเยซูคริสต์ทรงเรียกเขาให้มาเป็นศิษย์และเดินตามพระองค์
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)