บทเทศน์ประกอบการปฏิบัติจิตสำหรับบุคลากรของสันตะสำนัก: (1) จุดจบจะเป็นจุดเริ่มต้น (1/10)

บาทหลวงโรแบร์โต ปาโซลีนี (คณะภราดาน้อยกาปูชิน) นักเทศน์ประจำพระองค์สมเด็จพระสันตะปาปา ได้นำไตร่ตรองภายในการปฏิบัติจิตสำหรับบุคลากรของสันตะสำนักประจำปี 2025 โดยในครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2025 เวลา 17.00 น. มีหัวข้อว่า “จุดจบจะเป็นจุดเริ่มต้น” และมีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
ความเชื่อของพระศาสนจักร ซึ่งมีรากฐานอยู่ภายในการฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระคริสตเจ้า ได้มอบเสนอความหวังแห่งชีวิตที่ก้าวพ้นความตายให้แก่โลกนี้มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาผ่านไป คำสัญญานี้กลับจางหาย จนถึงกับถูกโต้แย้งหรือถูกเมินเฉยอยู่ในปัจจุบัน [แต่]ในการเผชิญหน้ากับการเมินเฉยเช่นนี้ บรรดาผู้เชื่อล้วนถูกเรียกให้ค้นพบคุณค่าและความงามของชีวิตนิรันดรกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการฟื้นฟูความหมายที่แท้จริง[ของชีวิตนิรันดร]ให้กลับคืนมา และหน้าที่เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น ในปีนี้ซึ่งเป็นปีศักดิ์สิทธิ์ และในเวลานี้ที่สมเด็จพระสันตะปาปากำลังทรงประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างลึกซึ้ง
เราทั้งหลายกำลังจะเริ่มเดินทางบนเส้นทางแห่งการปฏิบัติจิต[ด้วยการรำพึงไตร่ตรอง]เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร ทั้งนี้ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการเผยแสดงในคริสต์ศาสนา พวกเราจะเริ่มจากการกล่าวถึงข้อความสั้น ๆ บางข้อจากหนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งเป็นหนังสือที่สรุปแนวคิดทางเทวศาสตร์ไว้ให้ง่ายต่อการเข้าใจ หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกกล่าวถึงความตายเอาไว้ว่า ความตายไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นทางผ่านสู่ชีวิตนิรันดรในความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า ข้อความคิดนี้มีรากฐานอยู่ในหนังสือจดหมายถึงชาวโรม ซึ่งนักบุญเปาโลได้ยืนยันไว้ว่า อาศัยศีลล้างบาป เราทั้งหลายได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระคริสตเจ้า จึงทำให้เราทั้งหลายมีโอกาสเข้าถึงชีวิตใหม่
หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกได้สอนไว้ว่า การพิพากษาเฉพาะแต่ละบุคคลย่อมเกิดขึ้นในชั่วขณะแห่งความตาย โดยเป็นการตัดสินว่า[ผู้ตายนั้น]ได้น้อมรับหรือปฏิเสธพระหรรษทานของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ความรอดไม่ได้สงวนไว้สำหรับเฉพาะผู้คนที่ได้รู้จักพระคริสตเจ้าอย่างชัดแจ้งเท่านั้น สภาสังคายนาวาติกันที่สองได้สอนไว้ว่า ผู้คนที่แสวงหาพระเจ้าด้วยใจจริงผ่านการกระทำตามมโนธรรมของตนก็อาจเข้าถึงชีวิตนิรันดรได้เช่นกัน หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกเน้นว่า การพิพากษาครั้งสุดท้ายไม่ได้เป็นเพียงการตัดสินการกระทำภายนอก หากแต่เป็นการตัดสินเกี่ยวกับความรักที่ปรากฏภายในการเจริญชีวิต สิ่งนี้สอดคล้องกับความคิดของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนที่ว่า “ในยามสนธยาแห่งชีวิต เราทั้งหลายจะถูกพิพากษาเกี่ยวกับความรักของพวกเรา”
[จุดหมายปลายทางหลังความตาย]ของมนุษย์อาจเป็นได้สามทางด้วยกัน คือ สวรรค์ หรือนรกซึ่งเป็นการตัดสินลงโทษนิรันดร หรือไฟชำระซึ่งเป็นการทำให้บริสุทธิ์ในขั้นสุดท้าย สวรรค์หมายถึงการเติมเต็มตัวตนของมนุษย์อย่างบริบูรณ์ หมายถึงความสนิทสัมพันธ์นิรันดรกับพระคริสตเจ้า ซึ่งในที่นั้นบุคคลแต่ละคนย่อมได้ค้นพบอัตลักษณ์ที่แท้จริงของตนเอง ในทางตรงกันข้าม นรกถูกบรรยายว่าเป็นการตัดขาดจากพระเจ้าอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม พระศาสนจักรไม่เคยประกาศอย่างมั่นใจเลยว่า มีผู้ใดบ้างที่ถูกตัดสินให้ไปอยู่ใน[นรก] ขณะที่[ความเป็นไปได้]อย่างท้ายสุด คือ ไฟชำระ ถูกมองว่าเป็นกระบวนการแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ สำหรับผู้คนที่ถึงแม้จะอยู่ในพระหรรษทานของพระเจ้าแต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะไปสวรรค์ บางครั้งอาจเป็นไปได้ว่า เรื่อง[จุดหมายปลายทางหลังความตาย]ประการท้ายสุด [ได้แก่ ไฟชำระ]นี้ คือสิ่งที่ทำให้เราทั้งหลายได้ค้นพบว่า การเผยแสดงในคริสต์ศาสนาเป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์[ต่างจากลัทธิศาสนาอื่น] ความเป็นไปได้ของ “ช่วงเวลา” แห่งการชำระให้บริสุทธิ์ในขั้นสุดท้าย คือโอกาสหนึ่งสำหรับการน้อมรับความรักอันพ้นประมาณของพระเจ้าให้ได้อย่างเต็มบริบูรณ์
สิ่งที่พระศาสนจักรได้รำพึงไตร่ตรองเกี่ยวกับความเป็นนิรันดรของชีวิตเอาไว้เช่นนี้ ไม่ได้มีไว้ทำให้เราทั้งหลายเกิดความกลัว หากแต่เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อให้เราทั้งหลายบ่มเพาะเลี้ยงดูความหวัง [เหตุว่าคำสอนของพระศาสนจักร]ได้เน้นว่า จุดหมายปลายทางของเราทั้งหลายนั้นย่อมขึ้นอยู่กับเสรีภาพที่ทำให้เราทั้งหลายสามารถเลือกที่จะเจริญชีวิตภายในความรักได้ การชำระให้บริสุทธิ์ที่แท้จริงไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง หากแต่หมายถึงการยอมรับตัวตนของเราเองอย่างเต็มบริบูรณ์ภายในแสงสว่างแห่งความรักของพระเจ้า ทั้งนี้ ด้วยการเอาชนะภาพลวงที่บอกว่า หากเราไม่ทำตนให้กลายเป็น “อย่างอื่น” เราทั้งหลายก็ไม่สมควรได้รับความรอด
บ่อยครั้งที่พวกเรามักหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่า เราจะต้องทำตัวให้สมบูรณ์แบบ แต่พระวรสารได้สอนเราทั้งหลายว่า “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ที่แท้จริง ไม่ใช่ความอ่อนแอ หากแต่คือการไม่มีความรักมากพอต่างหาก เราอาจถือได้ว่า ไฟชำระเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากความกลัวต่อความไม่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้เราสามารถยอมรับตัวตนของเราเองได้อย่างสงบใจ และแปรเปลี่ยน[ตัวตนของเราทั้งหลาย]ให้เป็นพื้นที่แห่งการข้องเกี่ยวและความสนิทสัมพันธ์กับผู้อื่น [เราทั้งหลายอาจทำความเข้าใจได้เช่นนี้ว่า] ไฟชำระเป็น “ช่วงเวลา” ที่ในท้ายที่สุดเราจะสามารถหยุดความพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่างต่อพระเจ้า และจะสามารถยอมรับด้วยใจอันเรียบง่ายว่า เราเป็นที่รักของพระองค์
ดังนั้น ความเป็นนิรันดรจึงไม่ได้เป็นเพียงรางวัลที่จะได้ในอนาคต หากแต่เป็นความจริงที่เริ่มขึ้นในที่นี้ หากว่าเราทั้งหลายเรียนรู้ที่จะเจริญชีวิตภายในความรักและภายในความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้ถูกเขียนขึ้นภายในความหวาดกลัว หากแต่ถูกเขียนขึ้นภายในความหวัง ความตายไม่ใช่ความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นช่วงเวลาที่ในท้ายที่สุดเราจะได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า และได้ค้นพบว่าจุดจบนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เก็บบทเทศน์การเข้าเงียบประจำปี 2025 เทศกาลมหาพรต มาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)