สมโภชการกลับใจของนักบุญเปาโลอัครสาวก
การทำวัตรเย็นที่สอง
บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ณ มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพงเมือง กรุงโรม ประเทศอิตาลี
เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มกราคม 2025


สี่วันหลังจากที่นักบุญลาซารัสได้ล่วงหลับไป พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาถึงบ้านของนักบุญมาร์ธาและนักบุญมารีย์ นักบุญทั้งสามท่านนี้เป็นพี่น้องกัน และการตายของนักบุญลาซารัสก็ได้ทำให้นักบุญอีกสองท่านดูเหมือนหมดสิ้นความหวัง คำพูดแรกของนักบุญมาร์ธาได้แสดงออกซึ่งความเศร้าโศกและความเสียใจที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงช้าไป “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย” (ยน. 11,21) อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนั้น การประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าก็ได้จุดประกายแสงแห่งความหวังขึ้นในหัวใจของนักบุญมาร์ธา และทำให้ท่านประกาศความเชื่อของตนว่า “แม้แต่บัดนี้ ดิฉันก็รู้ดีว่า สิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” (เทียบ ยน. 11,22) ทัศนคติเช่นนี้เป็นทัศนคติแห่งการเปิดประตูไว้อยู่เสมอ ไม่ให้ประตูนี้ปิดลง และในการนี้ พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับท่านเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของผู้ตาย โดยว่าไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันสิ้นพิภพเท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เหตุว่าพระองค์เองทรงเป็นการกลับคืนชีพและทรงเป็นชีวิต จากนั้นพระองค์ก็ได้ตรัสถามนักบุญมาร์ธาว่า “ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” (ยน. 11,26) คำถามนี้เป็นคำถามสำหรับพวกเรา เป็นคำถามสำหรับท่าน และเป็นคำถามสำหรับข้าพเจ้าเองด้วยว่า “ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ”
ขอให้เราไตร่ตรองเกี่ยวกับคำถามนี้ว่า “ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” (ยน. 11,26) คำถามนี้เป็นคำถามสั้น ๆ แต่ท้าทาย
This tender encounter between Jesus and Martha from the Gospel teaches us that even in times of desolation, we are not alone and we can continue to hope. Jesus gives life even when it seems that all hope has vanished. Hope can falter following difficult experiences such as a painful loss, an illness, a bitter disappointment or a sudden betrayal. Although each of us may experience moments of despair or know people who have lost hope, the Gospel tells us that Jesus always restores hope because he raises us up from the ashes of death. Jesus always raises us up and gives us the strength to go on, to begin anew.
พระวรสารตอนที่บอกเล่าเรื่องการพบปะที่อ่อนโยนระหว่างนักบุญมาร์ธากับพระเยซูเจ้านี้ สอนให้พวกเรารู้ว่า ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง แต่เราก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง และเราก็สามารถมีความหวังต่อไปได้ พระเยซูเจ้าย่อมประทานชีวิต แม้จะดูเหมือนว่าความหวังทั้งหลายได้สูญสิ้นไปแล้วก็ตาม ความหวัง[ของคนเรา]อาจสั่นคลอนในยามที่ต้องพบเจอกับเรื่องยากลำบาก เช่นความเจ็บปวดแห่งการสูญเสีย ความป่วยไข้ ความผิดหวังอย่างรุนแรง หรือการที่จู่ ๆ ก็ถูกหักหลัง ถึงแม้ว่าเราแต่ละคนอาจเคยสัมผัสประสบการณ์แห่งความสิ้นหวัง หรือรู้จักคนที่เคยสูญเสียความหวังไป แต่พระวรสารก็สอนเราทั้งหลายว่า พระเยซูเจ้าย่อมทรงฟื้นฟูความหวังอยู่เสมอ เหตุว่าพระองค์ได้ทรงอุ้มชูเราขึ้นจากเถ้าถ่านแห่งความตาย พระองค์ย่อมอุ้มชูเราขึ้นเสมอ และประทานพละกำลังให้เราเดินหน้าต่อไป ให้เราเริ่มใหม่อีกครั้งได้
พี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้เราทั้งหลายอย่าลืมเด็ดขาดว่า ความหวังย่อมไม่มีทางผิดหวัง ความหวังย่อมไม่มีทางผิดหวัง ความหวังเปรียบเสมือนสมอเรือที่ยึดเราไว้กับชายฝั่ง และความหวังก็ย่อมไม่มีทางผิดหวังได้เลย นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับประชาคมคริสตชนทั้งหลาย ศาสนจักรทั้งหลาย ตลอดจนการดำเนินงานคริสต์ศาสนสัมพันธ์ของเราทั้งหลายด้วย ในบางครั้งเราอาจพบกับความเหนื่อยล้าที่ถาโถม และรู้สึกผิดหวังกับผลที่ไม่คุ้มกับแรงกายแรงใจที่เราได้ทุ่มเทไป บางครั้งอาจดูเหมือนว่าการเสวนาและความพยายามของฝ่ายต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่มีความหวังที่จะสำเร็จไปได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับนักบุญมาร์ธา แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมเสด็จมาหาพวกเรา เราเชื่อเช่นนี้หรือไม่ เราเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นการกลับคืนชีพและทรงเป็นชีวิตหรือไม่ เราเชื่อว่าพระองค์ทรงตอบแทนความพยายามของเรา และประทานพระหรรษทานอยู่เสมอเพื่อให้เราเดินหน้าไปด้วยกันต่อไปหรือไม่ เราเชื่อเช่นนี้หรือไม่
สารแห่งความหวังอันนี้เป็นหัวใจของปีศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น นักบุญเปาโลอัครสาวก ผู้ซึ่งเราทั้งหลายได้มาฉลองการกลับใจของท่านในวันนี้ ได้ประกาศแก่คริสตชนที่กรุงโรมไว้ว่า “ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา ได้หลั่งความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา” (รม. 5,5) เราทั้งหลายล้วนได้รับพระจิตเจ้าอันเดียวกันนี้ทุกคน และนี่ก็คือรากฐานของการเดินทางแห่งคริสต์ศาสนสัมพันธ์ของพวกเรา พระจิตเจ้าทรงนำทางบนเส้นทางอันนี้ ไม่มีเรื่องทางปฏิบัติอันใดที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งนี้ได้ดียิ่งกว่า[พระจิตเจ้า] เพราะ[ผู้ที่นำทางเรา]คือพระจิตเจ้า และเราก็จะต้องเดินตามพระจิตเจ้าไป
โอกาสที่พระศาสนจักรคาทอลิกเฉลิมฉลองปีศักดิ์สิทธิ์แห่งความหวังนี้ ตรงกับโอกาสครบรอบ 1,700 ปีของการสังคายนาที่นีเชอาซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งสำหรับคริสตชนทุกคน สภาสังคายนาแห่งนีเชอาเป็นการสังคายนาใหญ่ครั้งแรก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกภาพของพระศาสนจักรในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และบรรดาปิตาจารย์ในสภาสังคายนาก็ได้เห็นชอบเป็นเอกฉันท์ต่อบทสัญลักษณ์ข้อเชื่อที่คริสตชนจำนวนมากยังคงสวดทุกวันอาทิตย์ในพิธีมหาสนิท บทสัญลักษณ์ข้อเชื่อนี้เป็นการแสดงออกซึ่งความเชื่อร่วมกัน และความเชื่อนี้ก็เป็นสิ่งที่ก้าวข้ามความแตกแยกทั้งปวงในพระกายพระคริสตเจ้าที่เกิดขึ้นในช่วงหลายศตวรรษหลังจากนั้น ด้วยเหตุนี้ การครบรอบ [1,700 ปี]ของการสังคายนาที่นีเชอาจึงเป็นปีแห่งพระหรรษทาน เป็นโอกาสอันดีสำหรับคริสตชนทั้งหลายที่ประกาศความเชื่อด้วยบทสัญลักษณ์ข้อเชื่อเดียวกันและมีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน ขอให้เราทั้งหลายจงค้นพบอีกครั้งซึ่งรากฐานร่วมกันแห่งความเชื่อ ขอให้เราทั้งหลายจงรักษาเอกภาพระหว่างกันเอาไว้ ขอให้เราจงเดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง และขอให้เราได้ค้นพบเอกภาพอย่างที่เรากำลังแสวงหา ข้าพเจ้านึกถึงสิ่งหนึ่งที่โยอันนิส ซีซูลัส นักเทววิทยาออร์ทอดอกซ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าความสนิทสัมพันธ์ที่สมบูรณ์จะมาถึงเมื่อใด คือ ในวันถัดจากการพิพากษาครั้งสุดท้ายนั่นเอง” แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น พวกเราจะต้องก้าวเดินไปด้วยกัน ทำงานด้วยกัน อธิษฐานภาวนาด้วยกัน และมีความรักซึ่งกันและกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สวยงามมาก
พี่น้องชายหญิงที่รัก ความเชื่อที่เรามีร่วมกันนี้เป็นของประทานอันทรงคุณค่า แต่ขณะเดียวกัน[มาพร้อมกับ]งานที่ต้องทำ เราจะต้องไม่ให้ฉลองการครบรอบนี้เป็นเพียงการฉลอง “ความทรงจำทางประวัติศาสตร์” เท่านั้น หากแต่จะต้องทำให้เป็นการแสดงคำมั่นที่จะเป็นพยานถึงความสนิทสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นในหมู่พวกเราด้วย เราทั้งหลายจะต้องระวังไม่ให้ความสนิทสัมพันธ์นี้หลุดมือไป แต่เราจะต้องสร้างสายใยที่แข็งแกร่ง สร้างความเป็นมิตรซึ่งกันและกัน และเป็นเครื่องมือแห่งความสนิทสัมพันธ์และความเป็นพี่น้องกัน
ในสัปดาห์แห่งการอธิษฐานภาวนาเพื่อเอกภาพคริสตชนนี้ เราทั้งหลายสามารถเรียนรู้จากสภาสังคายนานีเชอา เกี่ยวกับเสียงเรียกแห่งการมีความเพียรทนในการก้าวเดินสู่เอกภาพด้วย ในปีนี้ วันสมโภชปัสกาจะเป็นวันเดียวกันทั้งในปฏิทินเกรโกเรียนและปฏิทินจูเลียน ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นเครื่องบ่งบอกซึ่งพระญาณเอื้ออาทร เพราะเป็นการสอดคล้องกับโอกาสการเฉลิมฉลองการครบรอบที่สำคัญของสภาสังคายนานีเชอานี้ ข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องอีกครั้งว่า ขอให้ความบังเอิญนี้จงเชื้อเชิญให้คริสตชนทั้งหลายออกเดินก้าวสำคัญเพื่อมุ่งสู่เอกภาพแห่งการสมโภชปัสกาในวันเดียวกัน (เทียบ สมณโองการSpes Non Confundit, ข้อ 17) พระศาสนจักรคาทอลิกมีความเปิดกว้างที่จะยอมรับวันกำหนดสมโภชดังที่ทุกคนปรารถนา เพื่อให้เกิดเอกภาพขึ้นในเรื่องวัน[กำหนดสมโภชปัสกา]
ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านมุขนายกมหานครโปลีการ์ปอส ซึ่งได้มาเป็นผู้แทนสำนักอัครบิดรแห่งคอนสแตนติโนเปิล และขอขอบใจอาร์ชบิชอปเอียน เออร์เนสท์ ผู้แทนนิกายแองกลิกัน ซึ่งข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมต่อการทำงานของท่าน และขอมอบความปรารถนาดีเนื่องในโอกาสที่ท่านกำลังจะพ้นจากหน้าที่ในปัจจุบันและเดินทางกลับประเทศของท่านด้วย นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอขอบใจผู้แทนจากประชาคมคริสตชนต่าง ๆ ที่มาร่วมในการถวายบูชาสรรเสริญพระเจ้ายามเย็นในวันนี้ การอธิษฐานภาวนาร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ และการที่ท่านทั้งหลายได้มาในที่นี้ก็ได้นำความชื่นชมยินดีมาสู่ทุกคน ข้าพเจ้าขอทักทายบรรดานักศึกษาภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการเพื่อความร่วมมือทางวัฒนธรรม[ระหว่างพระศาสนจักรคาทอลิก]กับบรรดาศาสนจักรออร์ทอดอกซ์และศาสนจักรออร์ทอดอกซ์บูรพาทิศ ซึ่งเป็นองค์กรสังกัดสมณกระทรวงเพื่อการส่งเสริมเอกภาพคริสตชน ขอทักทายบรรดานักศึกษาของสถาบันคริสต์ศาสนสัมพันธ์บอสเซย์ ในสังกัดสภาคริสตจักรโลก ตลอดจนขอทักทายกลุ่มคริสต์ศาสนสัมพันธ์ต่าง ๆ และบรรดาผู้แสวงบุญที่ได้มาที่กรุงโรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครั้งนี้ และขอขอบใจกลุ่มนักขับที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่งดงามยิ่งสำหรับการภาวนาด้วย ขอให้เราแต่ละคนจงเอาอย่างนักบุญเปาโล ในการค้นพบความหวังภายในพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงมาเป็นมนุษย์ ตลอดจนในการมอบความหวังนี้ให้แก่ผู้อื่นในทุกหนแห่งที่มีผู้คนกำลังหมดหวัง ในทุกแห่งที่ชีวิตผู้คนถูกทำลาย และในทุกแห่งที่จิตใจของผู้คนถูกกดทับด้วยความยากลำบาก (เทียบ บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ในพิธีเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์และพิธีบูชาขอบพระคุณคริสตสมภพตอนกลางคืน, 24 ธันวาคม 2024)
ความหวังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอในพระเยซูเจ้า และพระองค์ก็ย่อมทรงเกื้อหนุนความหวังของเราทั้งหลาย ภายในการที่เราทั้งหลายเดินทางมุ่งสู่พระองค์ภายในเอกภาพด้วย และในการนี้ ขอให้เราย้อนกลับมายังคำถามที่[พระเยซูเจ้าตรัส]ถามนักบุญมาร์ธา และถามเราทั้งหลายในเย็นนี้ว่า “ท่านเชื่อเช่นนี้หรือไม่” เราเชื่อในความสนิทสัมพันธ์ระหว่างกันหรือไม่ เราเชื่อหรือไม่ว่าความหวังย่อมไม่มีทางผิดหวัง
พี่น้องชายหญิงที่รัก บัดนี้เป็นเวลาอันดีที่เราทั้งหลายจะยืนยันการประกาศความเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว และค้นพบหนทางสู่เอกภาพภายในพระเยซูคริสตเจ้า ระหว่างที่เราทั้งหลายกำลังรอคอยให้องค์พระผู้เป็นเจ้า “เสด็จมาอีกด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ เพื่อทรงพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย” (บทสัญลักษณ์แห่งนีเชอา–คอนสแตนติโนเปิล) นี้ ขอให้เราจงอย่าเหนื่อยหน่ายที่จะเป็นพยานถึงพระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้าต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย เพราะพระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังทั้งปวงของพวกเรา
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)