
การเรียนคำสอนต่อเนื่องสำหรับปีศักดิ์สิทธิ์ 2025 : พระเยซูคริสตเจ้า ความหวังของเราทั้งหลาย II. ชีวิตของพระเยซูเจ้าคือการพบปะ (3) ศักเคียส : “เราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” (ลก 19:5)
เจริญพรมายังพี่น้องชายหญิงที่รัก
วันนี้พวกเราจะไตร่ตรองกันต่อเกี่ยวกับการพบปะระหว่างพระเยซูเจ้ากับผู้คนบางคนที่มีเล่าไว้ในพระวรสาร โดยในครั้งนี้ พ่ออยากจะพูดถึงเรื่องของศักเคียส ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกับพ่อมาก เพราะว่าเรื่องนี้ได้มีบทบาทพิเศษภายในการเดินทางฝ่ายจิตของพ่อเอง
พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกาได้เล่าเรื่องศักเคียสว่า คนผู้นี้ดูเหมือนจะกำลังพินาศไปอย่างที่ไม่มีใครช่วยได้ ซึ่งในบางครั้งพวกเราเองก็อาจรู้สึกแบบนี้ รู้สึกหมดหวัง อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาศักเคียสจะได้รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตามหาเขาอยู่
พระเยซูเจ้าได้เสด็จยังเมืองเยรีโค ซึ่งตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และดูเหมือนเป็นภาพสื่อถึงแดนมรณะใต้บาดาล พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาที่จะเสด็จไปยังเมืองนี้เพื่อค้นหาผู้คนที่รู้สึกว่าตัวเองหมดหนทาง และในความเป็นจริง องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ ก็ยังคงเสด็จไปยังแดนมรณะในที่ต่าง ๆ ทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน เช่นในที่ที่มีสงคราม ในที่ที่คนบริสุทธิ์กำลังทนทุกข์ ในหัวใจของคนเป็นแม่ที่สูญเสียลูกไปต่อหน้าต่อตา และในที่ที่คนยากไร้กำลังหิวโหย
ในแง่หนึ่ง ศักเคียสดูเหมือนจะหลงทาง ไม่มีทางรอด บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาได้ตัดสินใจบางอย่างผิดพลาด หรืออาจเป็นเพราะว่าชีวิตของศักเคียสทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาพยายามจะหลีกหนีแต่ก็ทำไม่ได้ จริงทีเดียวว่า นักบุญลูกาได้อธิบายลักษณะของศักเคียสไว้อย่างละเอียด คือ ไม่เพียงแต่จะอธิบายว่าเขาเป็นคนที่เก็บภาษีจากพี่น้องร่วมชาติเพื่อนำไปมอบให้ผู้รุกรานชาวโรมันเท่านั้น แต่นักบุญลูกายังได้ย้ำด้วยว่า ศักเคียสเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี ราวกับจะบอกว่าศักเคียสมีบาปที่หนักหนามากเป็นทวีคูณ
นักบุญลูกายังกล่าวเสริมอีกว่า ศักเคียสเป็นคนมั่งมี ซึ่งเป็นการสื่ออย่างกลาย ๆ ว่า เขาร่ำรวยขึ้นมาจากการทำนาบนหลังคน คือการใช้ตำแหน่งของตนเพื่อหาประโยชน์อย่างผิด ๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ศักเคียสได้รับผลอย่างหนึ่ง คือ ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองถูกกีดกัน เป็นที่รังเกียจของทุกคน
เมื่อศักเคียสได้รู้ว่าพระเยซูเจ้ากำลังเสด็จผ่านเมืองเยรีโค เขาก็ได้รู้สึกถึงความปรารถนาที่จะได้เห็นพระองค์ เขาไม่กล้าคิดว่าตนเองจะได้พบปะพูดคุยกับพระเยซูเจ้า แค่เพียงแค่ได้เห็นพระองค์จากที่ไกลก็เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาของพวกเรา[บางครั้ง]ก็อาจพบกับอุปสรรค ไม่อาจเป็นจริงได้อย่างง่าย ๆ โดยอัตโนมัติ [นักบุญลูกากล่าวว่า]ศักเคียสเป็นคนร่างเตี้ย นี่คือความเป็นจริงของพวกเรา เพราะพวกเราเองก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ต้องเผชิญ ขณะที่คนอื่น ๆ ก็อาจจะไม่ได้ช่วยเหลือเราเสมอไป [ในเรื่องนี้] ฝูงชน[ที่มากันเนืองแน่น]ได้ทำให้ศักเคียสมองไม่เห็นพระเยซูเจ้า บางทีที่พวกเขาทำแบบนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาอยากเอาคืนศักเคียสก็เป็นได้
แต่เมื่อพวกเรามีความปรารถนาที่แรงกล้าบางอย่าง เราก็ย่อมจะไม่ละทิ้งความพยายาม เราย่อมจะดิ้นรนเพื่อค้นหาทางออก อย่างไรก็ตาม เราจะต้องมีความกล้าหาญ เราจะต้องละทิ้งความอับอาย เราจะต้องมีจิตใจที่เรียบง่ายแบบเด็ก ๆ และจะต้องไม่กังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเอง ศักเคียส[ก็เช่นกัน] เขาได้ปีนต้นไม้ราวกับว่าเป็นเด็กคนหนึ่ง และเมื่อเขาได้ขึ้นไปบนต้นไม้ นั่นก็ย่อมจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการเฝ้าดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้ เขาก็จะสามารถเฝ้าดูได้โดยที่ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาคนอื่น
อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสมอ เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาใกล้ พระองค์ก็ได้ทรงมองขึ้นไป ทำให้ศักเคียสรู้สึกว่าตนเองถูกค้นพบ [ในตอนนี้]เขาอาจคิดว่า อีกเดี๋ยวหนึ่ง[พระเยซูเจ้าก็จะทรง]ตำหนิเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย ฝูงชนเองก็อาจจะคาดหวังให้เป็นเช่นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง เพราะพระเยซูเจ้าตรัสเรียกให้ศักเคียสลงมาจากต้นไม้โดยทันที ดูราวกับว่าทรงประหลาดพระทัยเมื่อได้เห็นศักเคียสอยู่บนต้นไม้ และ[หลังจากนั้น] พระองค์ก็ตรัสกับเขาว่า “เราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” (ลก 19:5) พระเจ้าไม่ได้เสด็จผ่านไปเฉย ๆ หากแต่ทรงมองหาผู้คนที่หลงทางอยู่เสมอ
นักบุญลูกาได้เล่าเน้นถึงความปีติยินดีในหัวใจของศักเคียส ซึ่งเป็นความปีติยินดีที่ผู้คนย่อมรู้สึกเมื่อมีใครมองเห็นเขา ยอมรับเขา และเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อมีใครให้อภัยแก่เขา พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงมองศักเคียสด้วยสายตาที่ตำหนิ หากแต่ทรงมองเขาด้วยพระทัยเมตตากรุณา บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่เราจะยอมรับพระเมตตาอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพระเจ้าประทานอภัยให้แก่ใครบางคนที่เราคิดว่าไม่สมควรได้รับการอภัย [ในกรณีเช่นนี้ ถ้า]พวกเราอาจรู้สึกไม่พอใจ [นั่นก็ย่อมเป็น]เพราะว่าพวกเราคิดอยากจะจำกัดความรักของพระเจ้าให้อยู่ภายในขอบเขตบางอย่าง
[แต่ในฉากต่อมา เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาที่บ้านของศักเคียส และ]เมื่อศักเคียสได้รับฟังพระวาจาแห่งการอภัยของพระองค์ เขาก็ได้ลุกขึ้นยืน ราวกับว่าได้หลุดพ้นจากเงื่อนไขแห่งความตาย และเขาก็ได้แสดงความมุ่งหมายที่จะมอบคืนสิ่งต่าง ๆ ที่เขาโกงมา โดยเพิ่มให้เป็นสี่เท่า สิ่งนี้ไม่ใช่ราคาที่จะต้องจ่ายเพื่อที่จะได้รับการอภัย เพราะการอภัยของพระเจ้าเป็นการให้เปล่า หากแต่เป็นความปรารถนาของศักเคียสที่จะเอาอย่าง[พระเยซูเจ้า] ผู้ที่เขาได้รู้สึกว่าทรงมีความรักให้แก่เขา การที่ศักเคียสแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่ผูกมัด หากแต่เป็นเพราะเขาได้เข้าใจว่านี่คือวิถีทางแห่งความรักสำหรับตัวเขาเอง นอกจากนี้ สิ่งที่เขา[กล่าวว่าจะ]กระทำก็เป็นการผสมผสานกันระหว่างบทบัญญัติของกฎหมายโรมันว่าด้วยการลักขโมย กับบทบัญญัติของบรรดาธรรมาจารย์ในศาสนายิวว่าด้วยการใช้โทษบาป ในตอนนี้[จึงเห็นได้ว่า] ศักเคียสไม่ได้เป็นเพียงคนที่มีความปรารถนาเท่านั้น หากแต่เขารู้เช่นกันว่าจะต้องทำอะไรในความเป็นจริง เป้าหมายของเขาไม่ได้เป็นเรื่องนามธรรม ไม่ได้เป็นสิ่งที่ใครก็พูดได้ทำได้ หากแต่เป็นเป้าหมายที่แตกหน่อออกมาจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาของเขา ศักเคียสได้มองย้อนกลับไปยังชีวิตของตน ทำให้เขารู้ว่าจะต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจากที่ใด
พี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้เราเรียนรู้จากศักเคียส เพื่อที่เราจะไม่หมดหวัง ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าถูกกีดกันหรือไม่อาจเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็ตาม ขอให้เราทะนุถนอมความปรารถนาที่จะได้เห็นพระเยซูเจ้า และเหนือสิ่งอื่นใด ขอให้เรายอมให้พระเมตตาของพระเจ้าได้ค้นพบเรา เพราะพระองค์ย่อมเสด็จมาตามหาเราอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะหลงทางอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตาม
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เก็บการสอนคำสอนทั่วไปปีศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)