

การเรียนคำสอนต่อเนื่องสำหรับปีศักดิ์สิทธิ์ 2025 : พระเยซูคริสตเจ้า ความหวังของเราทั้งหลาย II. ชีวิตของพระเยซูเจ้าคือการพบปะ (1) นิโคเดมัส : “ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน” (ยน 3:7b)
เจริญพรมายังพี่น้องชายหญิงที่รัก อรุณสวัสดิ์
ในการเรียนคำสอนครั้งนี้ พวกเราจะเริ่มรำพึงไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้คนบางคนที่ได้พบปะกับพระเยซูเจ้าดังที่มีเล่าไว้ในพระวรสาร เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า พระเยซูเจ้าประทานความหวังแก่ผู้คนทั้งหลายอย่างไร จริงทีเดียวว่า การพบปะเหล่านี้ได้นำแสงสว่างมาสู่ชีวิตและทำให้ผู้คนมีความหวัง พวกเราเองก็เช่นกัน เวลาที่เราประสบปัญหาหรือความยากลำบาก บางครั้งเราอาจได้พบกับผู้คนที่ช่วยให้เรามองปัญหาหรือความยากลำบากนั้นจากแง่มุมใหม่ ๆ หรืออาจได้ฟังคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถึงแม้เราจะประสบกับความเจ็บปวด แต่เราก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง [นอกจากนี้]ในบางครั้ง อาจมีการพบปะที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร แต่การพบปะนั้นก็ช่วยให้เราทั้งหลายย้อนกลับสู่หนทางที่ควรจะเป็นได้
การพบปะอันแรกที่พ่ออยากนำมาพิจารณา คือการพบปะระหว่างพระเยซูเจ้ากับนิโคเดมัส ซึ่งเล่าไว้ในบทที่สามของหนังสือพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น พ่ออยากเริ่มจากเรื่องนี้ เพราะว่าเรื่องราวของนิโคเดมัสทำให้พวกเรามองเห็นว่า คนเราสามารถหลุดพ้นจากความมืด และค้นพบความกล้าหาญที่จะติดตามพระเยซูเจ้าได้
นิโคเดมัสไปเฝ้าพระเยซูเจ้าในตอนกลางคืนซึ่งไม่ใช่เวลาที่คนไปมาหาสู่กันตามปกติ บ่อยครั้งที่เมื่อนักบุญยอห์นกล่าวถึงช่วงเวลาบางอย่าง การบอกเล่าเช่นนั้นก็มักจะมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ด้วย ในที่นี้ เวลากลางคืนอาจสื่อถึงสิ่งที่อยู่ในใจของนิโคเดมัส ผู้ซึ่งในตอนนั้นอยู่ท่ามกลางความมืดแห่งความกังขา ซึ่งเป็นความมืดที่พวกเราเองย่อมประสบเช่นกันเมื่อพวกเรารู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตอีกต่อไป และมองไม่เห็นหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้า
หากว่าเราอยู่ในความมืด แน่นอนว่าเราย่อมปรารถนาแสงสว่าง และนักบุญยอห์นก็ได้กล่าวไว้ในบทแรกของพระวรสารตามคำบอกเล่าของท่านว่า “แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน กำลังจะมาสู่โลก” (ยน 1:9) ดังนั้น นิโคเดมัสจึงแสวงหาพระเยซูเจ้า เพราะเขารู้สึกว่าพระองค์จะช่วยนำพาแสงสว่างมาสู่ความมืดในใจของเขาได้
อย่างไรก็ตาม พระวรสารได้เล่าให้พวเราฟังว่า นิโคเดมัสไม่อาจเข้าใจพระวาจาของพระเยซูเจ้าได้ในทันที และเรายังได้เห็นอีกว่า ในบทสนทนาของทั้งสองมีความเข้าใจไม่ตรงกันหลายข้อ และยังมีคำพูดบางอย่างที่แฝงนัยเชิงแดกดันด้วย ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น นิโคเดมัสไม่เข้าใจพระวาจาของพระเยซูเจ้า เพราะว่าเขาเอาแต่คิดด้วยการใช้เหตุผลและกรอบความคิดเดิมของตน เขาเป็นคนที่มีตัวตนชัดเจน เขามีบทบาทสำคัญในสังคม เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำของชาวยิว แต่เป็นไปได้ว่าในตอนนี้มีบางสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้อีกต่อไป นิโคเดมัสรู้สึกว่าตอนนี้มีบางสิ่งที่ไม่เรียบร้อยในชีวิตของเขา เขารู้สึกว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ไหนดี
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในบางจังหวะชีวิตของพวกเราทุกคนเช่นกัน และหากว่าเราไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หากว่าเราปิดกั้นตัวเองอยู่ในความไม่ยืดหยุ่น ความเคยชิน หรือวิธีคิดแบบเดิม ๆ ก็มีความเสี่ยงที่เราอาจประสบกับความตาย[ภายใน] แต่หากว่าเราต้องการมีชีวิต เราก็จะต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อค้นหาหนทางใหม่ในการมีความรักให้แก่ผู้อื่น จริงทีเดียวว่าพระเยซูเจ้าได้ตรัสต่อนิโคเดมัสเกี่ยวกับการเกิดใหม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้แล้ว ในบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่เราต้องทำอีกด้วย เนื่องจากพวกเราล้วนเป็นผู้จาริกที่กำลังเดินทางอยู่ อันที่จริงแล้ว คำที่ใช้ในข้อความพระวรสารเป็นคำที่มีความหมายหลายอย่าง กล่าวคือ คำว่า “อะนอเธน” (ἄνωθεν) ในภาษากรีก อาจแปลได้ทั้งด้วยคำว่า “จากเบื้องบน” และคำว่า “อีกครั้ง” ซึ่งในเวลาต่อมา นิโคเดมัสก็จะค่อย ๆ เข้าใจได้ว่า ความหมายทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน เพราะหากว่าพวกเรายอมให้พระจิตเจ้าบันดาลชีวิตใหม่ให้เกิดขึ้นในเรา เราก็จะได้เกิดใหม่อีกครั้ง เราจะได้ค้นพบชีวิตอีกครั้ง ถึงแม้ว่าชีวิตอันนี้อาจจะกำลังจางหายไปภายในเราก็ตาม
พ่อได้เลือกที่จะเริ่มจากเรื่องของนิโคเดมัสโดยมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งคือ ชีวิตของนิโคเดมัสเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้ เพราะนิโคเดมัสเองก็ได้เปลี่ยนแปลงตนเอง และในที่สุด เขาจะเป็นคนหนึ่งที่ได้ไปหาปีลาตเพื่อขอรับเอาพระวรกายของพระเยซูเจ้า[มาฝังไว้] (เทียบ ยน 19:39) ในท้ายที่สุด นิโคเดมัสได้มาสู่แสงสว่าง เขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง เขาได้[หลุดพ้นจากความมืด และเขาไม่จำเป็นต้องแอบมาเฝ้าพระเยซูเจ้า]ในตอนกลางคืนอีกต่อไป
บางครั้งความเปลี่ยนแปลงอาจทำให้เรารู้สึกกลัว ในด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงย่อมดึงดูดเรา บางครั้งเราปรารถนาซึ่งความเปลี่ยนแปลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราอาจอยากอยู่ภายในที่ที่เรารู้สึกสบายใจอยู่แล้วมากกว่า ดังนั้น [เราจึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจาก]พระจิตเจ้า ผู้ทรงเป็นกำลังใจให้เราทั้งหลายเผชิญหน้ากับความกลัวเช่นนี้ พระเยซูเจ้าได้ทรงเตือนใจนิโคเดมัสซึ่งเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งของชาวอิสราเอลว่า แม้แต่ประชากรอิสราเอลก็ยังรู้สึกกลัวเมื่อพวกเขาเดินทางอยู่ในที่กันดาร [ไม่เพียงเท่านั้น] พวกเขายังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่พวกตนเป็นกังวล จนกระทั่งความกลัวเหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นในรูปของงูพิษ (เทียบ กดว 21:4-9) ซึ่งในการที่จะเป็นอิสระจากความกลัวนี้ พวกเขาต้องมองขึ้นไปยังงูทองสำริดที่โมเสสนำไปติดไว้บนเสา หมายความว่า พวกเขาต้องยืนขึ้นและมองไปยังวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทนความกลัวของพวกตน หากเราไม่เผชิญหน้าอย่างตรง ๆ กับสิ่งที่เราหวาดกลัว [เราก็จะไม่มีวันได้เป็นอิสระจากความกลัวนั้นเลย]
เราทั้งหลายล้วนเป็นเหมือนนิโคเดมัส เราทั้งหลายสามารถมองขึ้นไปยังพระผู้ทรงถูกตรึงไม้กางเขน ผู้ทรงเอาชนะความตายซึ่งเป็นรากของความกลัวทั้งหลายของพวกเรา ดังนั้น ขอให้เรามองขึ้นไปหา[พระเยซูเจ้า] ผู้ซึ่งถูกเขาทิ่มแทง และขอให้เราพร้อมที่จะพบปะพระเยซูเจ้า เหตุว่าเราทั้งหลายย่อมค้นพบความหวังได้ในพระองค์ และความหวังนี้จะช่วยให้เราเผชิญหน้าความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในชีวิต และทำให้เราทั้งหลายได้เกิดใหม่อีกครั้งด้วย
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เก็บการสอนคำสอนทั่วไปปีศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)