POPE FRANCIS
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
General Audience/การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป
ณ หอประชุมใหญ่เปาโลที่หก นครรัฐวาติกัน
เมื่อวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2024


คำสอน : คุณธรรมและพยศชั่ว (20) ความรัก
เจริญพรมายังพี่น้องที่รัก อรุณสวัสดิ์
วันนี้พ่อจะพูดถึงคุณธรรมทางเทววิทยาประการที่สาม ได้แก่ ความรัก ให้เราจำไว้ว่า คุณธรรมทางเทววิทยาอีกสองอย่างคือความเชื่อและความหวัง วันนี้เราจะพูดถึง[คุณธรรมทางเทววิทยา]ประการที่สาม คือความรัก ความรักเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางทั้งหมดที่เราได้ก้าวเดินภายในการเรียนคำสอนต่อเนื่องเรื่องคุณธรรมประการต่าง ๆ เพียงแค่เราทั้งหลายคิดถึงความรัก ความคิดและจิตใจของเราก็ย่อมจะพองโตขึ้นทันที ทำให้พวกเรานึกถึงคำพูดของนักบุญเปาโลภายในจดหมายฉบับที่หนึ่งถึงชาวโครินธ์ซึ่งเป็นคำพูดภายใต้การดลใจ โดยหลังจากที่ท่านได้กล่าวถ้อยคำเป็นบทสรรเสริญ[ความรัก]อันน่าอัศจรรย์ใจ ท่านก็ได้กล่าวสรุปโดยพูดถึงคุณธรรมทางเทววิทยาที่มีองค์สามประการ จากนั้นก็ประกาศว่า “ดังนั้น สิ่งที่ยังคงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก รวมเป็นสามประการนี้ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก” (1 คร. 13,13)
นักบุญเปาโลกล่าวเช่นนี้กับประชาคมที่ไม่ได้มีความรักแบบพี่น้องอย่างสมบูรณ์แบบ เหตุว่าคริสตชนชาวโครินธ์ในสมัยนั้นกำลังทะเลาะเบาะแว้งกันเอง มีความแตกแยกภายใน มีบางคนที่อ้างตัวว่าถูกต้องเสมอและไม่ยอมรับฟังผู้อื่นที่เขามองว่าด้อยกว่าตน นักบุญเปาโลได้เตือนใจพวกเขาว่า ความรู้ทำให้ทะนงตน แต่ความรักเป็นสิ่งที่เสริมสร้าง (เทียบ 1 คร. 8,1) จากนั้นท่านก็ได้พูดถึงเรื่องสะดุดที่มีอยู่แม้กระทั่งภายใน “การเลี้ยงอาหารค่ำขององค์พระผู้เป็นเจ้า” กล่าวคือ ในพิธีบูชาขอบพระคุณ ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสูงสุดของประชาคมคริสตชน แต่กลับกลายเป็นว่าในที่นี้ก็มีความแตกแยก และมีบางคนใช้โอกาสนี้เพื่อการกินดื่มโดยกีดกันคนยากไร้ออกไป (เทียบ 1 คร. 11,18-22) นักบุญเปาโลได้ตำหนิสิ่งเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ท่านกล่าวว่า “เมื่อท่านมาชุมนุมพร้อมกันนี้ สิ่งที่ท่านกินไม่ใช่อาหารค่ำขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (เทียบ 1 คร. 11,20) [กล่าวคือ นักบุญเปาโลตำหนิชาวโครินธ์ว่า สิ่งที่พวกเขาทำ] เป็นพิธีกรรมอย่างอื่นที่ไม่ใช่แบบคริสต์ศาสนา ไม่ใช่การเลี้ยงอาหารค่ำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเราไม่อาจรู้ได้แน่ชัด แต่เป็นไปได้ว่าในประชาคมที่โครินธ์ในขณะนั้น ไม่มีใครคิดว่าพวกตนกำลังกระทำบาป และพวกเขาอาจไม่เข้าใจความหมายในคำพูดที่รุนแรงของ[นักบุญเปาโล]อัครสาวก พวกเขาอาจเชื่อมั่นว่าพวกตนเป็นคนดี และถ้ามีใครมาถามเกี่ยวกับความรัก พวกเขาก็อาจตอบว่าความรักเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก ไม่ต่างจากมิตรภาพหรือ[ความสัมพันธ์ภายใน]ครอบครัว ทุกวันนี้ก็เช่นกัน มี “อินฟลูเอ็นเซอร์” หลายคนที่พูดถึงความรัก เพลงจำนวนมากก็กล่าวถึงความรัก เราพูดหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับความรัก แล้วความรักนี้คืออะไร
ดูเหมือนนักบุญเปาโลจะได้ตั้งคำถามต่อคริสตชนที่โครินธ์ว่า “แล้วความรักอีกอย่างหนึ่งล่ะ” ความรักอันนี้ไม่ใช่สิ่งที่มุ่งสู่เบื้องบน แต่เป็นสิ่งที่มุ่งลงสู่เบื้องล่าง ไม่ใช่ความอยากที่จะได้รับ แต่เป็นเรื่องของการให้ ไม่ใช่ความรักที่ปรากฏเห็นได้ แต่เป็นความรักที่ซ่อนเร้น นักบุญเปาโลมีความกังวลว่าที่โครินธ์นั้น ผู้คนอาจกำลังสับสนเรื่องความรัก และในความเป็นจริงแล้วอาจไม่มี[แม้กระทั่ง]ร่องรอยของความรักอย่างที่เป็นคุณธรรมทางเทววิทยา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับ[เป็นของประทาน]จากพระเจ้าเท่านั้น เรื่องแบบนี้อาจมีอยู่ในหมู่พวกเราทุกวันนี้ด้วย โดยถึงแม้ว่าในทางคำพูด พวกเขาทุกคนอาจยืนยันว่าพวกตนเป็นคนดี มีความรักต่อเพื่อนฝูงและครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า
คริสตชนในยุคโบราณมีคำในภาษากรีกหลายคำที่ใช้พูดถึงความรัก และในท้ายที่สุด คำว่า “อะกาเป” ก็ได้ปรากฏขึ้นมา โดยทั่วไปพวกเราแปลคำนี้ว่า “ความรัก” หรือ “ความเมตตา” แท้จริงแล้วคริสตชนสามารถมีความรักอย่างที่มีในโลกนี้ได้ทุกแบบ คริสตชนเองก็อาจตกหลุมรักกับใครบางคนได้ไม่ต่างจากคนอื่น คริสตชนเองก็อาจมีความปรารถนาดีต่อมิตรสหาย คริสตชนเองก็รู้สึกถึงความรักที่มีต่อประเทศของตนและความรักอย่างสากลต่อมนุษยชาติทั้งมวลได้ แต่มีความรักอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าความรักอื่น ๆ ทั้งหมด เป็นความรักที่มาจากพระเจ้าและมุ่งยังพระเจ้า และทำให้เราทั้งหลายสามารถรักพระเจ้า สามารถเป็นเพื่อนกับพระองค์ และทำให้เราทั้งหลายรักบรรดาเพื่อนบ้านได้อย่างที่พระเจ้าทรงรักเขา ด้วยความปรารถนาที่จะแบ่งปันมิตรภาพกับพระเจ้า พระคริสตเจ้าได้ทรงทำให้ความรักอันนี้เป็นเครื่องผลักดันให้เราทั้งหลายออกเดินทางไปยังสถานที่ที่เราทั้งหลายอาจไม่เดินทางไปหากว่าคิดในแบบมนุษย์ ความรักอันนี้เป็นความรักที่มีให้แก่คนยากจน คนที่ไม่น่ารัก คนที่ไม่ใส่ใจเรา และคนที่ไม่รู้จักขอบคุณ ความรักอันนี้เป็นความรักที่มีให้แก่คนที่ไม่มีผู้ใดรักเขา ซึ่งอาจหมายรวมถึงความรักต่อผู้ที่เป็นศัตรูด้วย [พ่อขอย้ำว่า] ต่อผู้ที่เป็นศัตรูด้วย ความรักอันนี้เป็น[คุณธรรม] “ทางเทววิทยา” เหตุว่าเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า เป็นกิจการของพระจิตเจ้าภายในเรา
ในบทเทศน์บนภูเขา พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า “ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน แล้วท่านจะมีความดีความชอบอะไรได้ เพราะแม้แต่คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย” (ลก. 6,32-33, เทียบ มธ. 5,46) และทรงสรุปว่า “แต่ท่านจงรักศัตรู” ถึงแม้ว่าพวกเราต่างชินกับการว่าร้ายต่อคนที่เป็นศัตรูของเรา [แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า] “ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืน แล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย” (ลก. 6,35, เทียบ มธ. 5,44-45) ขอให้เราทั้งหลายจงจำไว้ให้ดีว่า “ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืน” ขอให้เราจำเรื่องนี้ไว้ให้ดี
ภายในพระวาจาอันนี้ ความรักได้เปิดเผยตัวเองว่าเป็นคุณธรรมทางเทววิทยาอย่างหนึ่ง จึงได้ชื่อเรียกว่า “ความรักความเมตตา” (caritas) ความรักย่อมเป็นความเมตตา เราทั้งหลายอาจรู้สึกได้ทันทีว่านี่เป็นเรื่องยาก หากว่าเราทั้งหลายไม่มีชีวิตในพระเจ้า ความรักแบบนี้ก็จะไม่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้เลย ธรรมชาติแบบมนุษย์ของพวกเราย่อมทำให้เรารู้จักมีความรักได้เองต่อสิ่งที่ดีและสวยงาม และหากว่าเรามีอุดมการณ์หรือความผูกพันที่ลึกซึ้งบางอย่าง เราทั้งหลายก็อาจมีความใจกว้างและกระทำกิจการดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วย อย่างไรก็ตาม ความรักของพระเจ้าอยู่เหนือเกณฑ์วัดต่าง ๆ เหล่านี้ ความรักแบบคริสตชนย่อมรวมถึงความรักต่อสิ่งที่ไม่น่ารัก เป็นความรักที่มอบเสนอการให้อภัย ซึ่งการให้อภัยนี้ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน ต้องใช้ความรักอันยิ่งใหญ่เหลือเกิน โดยทั่วไปแล้ว หากมีใครดูหมิ่นด่าว่าหรือสาปแช่งเรา เราก็ย่อมมีนิสัยความเคยชินที่จะดูหมิ่นด่าว่าหรือสาปแช่งเขาตอบ แต่ความรักแบบคริสตชนย่อมเป็นการอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่ง [ความรักแบบพระเจ้า]เป็นความรักที่เร่งร้อนอย่างมากจนดูเหมือนว่าแทบจะเป็นจริงไปไม่ได้ แต่ความรักแบบนี้เป็นสิ่งเดียวที่จะคงเหลืออยู่กับเรา ความรักเป็น “ประตูแคบ” ที่เราจะต้องผ่านเพื่อเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ในวาระสุดท้ายของชีวิต เกณฑ์ที่เราทั้งหลายจะถูกพิพากษาย่อมไม่ใช่ความรักแบบสามัญธรรมดา หากแต่เป็นความรักแบบพระเจ้า เป็น[เรื่องที่ว่าเรามี]ความรักที่แท้จริง[หรือไม่] พระเยซูเจ้าได้ตรัสสิ่งที่สวยงามยิ่งแก่เราทั้งหลายว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ. 25,40) นี่เป็นสิ่งสวยงาม และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับความรัก ขอให้เราทั้งหลายจง [มีความรักที่]มุ่งเดินหน้าไป และขอให้เรา[มีความรักที่]มุ่งสู่เบื้องบนด้วย
พระดำรัสทักทายพิเศษของสมเด็จพระสันตะปาปา
พ่อขอต้อนรับอย่างอบอุ่นต่อผู้แสวงบุญและผู้มาเยือนที่พูดภาษาอังกฤษซึ่งได้มาหาพ่อในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แทนของกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอังกฤษว่าด้วยสันตะสำนัก ตลอดจนบรรดาผู้ที่มาจากยูกันดา ออสเตรเลีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ขณะที่เราทั้งหลายกำลังเตรียมสมโภชพระจิตเจ้า[ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้] พ่อขอให้ลูกทุกคน ตลอดจนครอบครัวของลูก ได้รับพระพรอันอุดมจากพระจิตเจ้า ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดประทานพรแก่ลูกทุกคน
ท้ายสุด พ่อขอส่งความคำนึงถึงบรรดาเยาวชน คนป่วย คนชรา และคนที่เพิ่งแต่งงาน อีกไม่กี่วันเราจะได้สมโภชพระจิตเจ้า พ่อขอเตือนใจให้ลูกทุกคนมีความนอบน้อมเชื่อฟังต่อกิจการของพระจิตเจ้าเสมอ ขอให้การประทับอยู่ของพระจิตเจ้าผู้ทรงนำมาซึ่งความบรรเทาใจ จงเกื้อหนุนเราทั้งหลายท่ามกลางการผจญทั้งปวง
ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาเพื่อสันติภาพด้วย ขอให้เราอย่าลืมยูเครนที่กำลังถูกเบียดเบียนสังหาร ขอให้เราอย่าลืมปาเลสไตน์ อิสราเอล และเมียนมา ให้เราภาวนาเพื่อสันติภาพ ให้เราภาวนาเพื่อผู้คนทั้งมวลที่กำลังทนทุกข์เพราะสงคราม ขอให้เราทุกคนจงร่วมกันภาวนาด้วยใจกว้างเพื่อให้มีสันติภาพถาวร และเพื่อที่สงครามจะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะว่าสงครามย่อมเป็นความพ่ายแพ้เสมอ
พ่อขออวยพรลูกทุกคน
ใจความสรุปพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปา
พี่น้องที่รัก ในการเรียนคำสอนต่อเนื่องว่าด้วยคุณธรรมทางเทววิทยา บัดนี้เราทั้งหลายจะพิจารณาเรื่องความรัก ซึ่งเป็นคุณธรรมข้อใหญ่ที่สุดในบรรดาคุณธรรมทั้งปวง (1 คร. 13,13) ความรักไม่ได้เป็นเพียงมิตรภาพ ไม่ได้เป็นเพียงความผูกพันกับคนในครอบครัว และไม่ได้เป็นเพียงความปรารถนาดีต่อผู้อื่น หากแต่ความรักเป็นของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งมีไว้เพื่อให้เราทั้งหลายรักพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด และให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนกับรักตนเอง พระหรรษทานของพระจิตเจ้าและพลานุภาพแห่งความรักที่นำมาซึ่งการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้า ย่อมทำให้เราทั้งหลายรักกันและกันได้ในแบบที่เหนือกว่าแนวโน้มตามธรรมชาติของพวกเราเอง ความรักแบบคริสตชน หรือ อะกาเป จะแสดงออกได้ก็โดยการรักคนยากจน คนที่ไม่น่ารัก และคนที่ไม่รักพวกเรา ด้วยการให้อภัยทุกคนที่กระทำผิดต่อเรา และด้วยการอวยพรผู้ที่สาปแช่งเรา (ลก. 6,28) [ดังนั้น] ขอให้เราทั้งหลายจงเป็นผู้ที่นำพาความรักแบบคริสตชนไปมอบให้แก่ผู้คนทั้งมวล ขอให้เราทั้งหลายจงเป็นผู้ที่มีใจกว้างและรับใช้อย่างสุภาพถ่อมตนเพื่อเป็นพยานแห่งความรักที่เรามีต่อพระเจ้า
(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร
เก็บการสอนคำสอน/General audience ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)