นักบุญ คุณพ่อปีโอ (ปาเดรปีโอ) ผู้มีรอยแผลศักด์สิทธิ์ แห่ง ปีเอเตร็ลชีน่า อิตาลี

วันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2002 ณ กรุงโรม สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงสถาปนาคุณพ่อปีโอแห่งปีเอเตร็ลชีน่าเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งตลอดกาล  ท่านเป็นนักบุญผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงเรื่องการบำบัดรักษาโรคภัยต่างๆ  ท่านมีชื่อเสียงเพราะ “สามารถอ่าน” ดวงวิญญาณผู้อื่นได้  ท่านมีชื่อเสียงเพราะท่านมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ท่านเห็นการประจักษ์ของพระองค์ ศพของท่านมี “กลิ่นหอมแห่งความศักดิ์สิทธิ์”  ท่านเข้าใจภาษาต่างๆที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน  คุณพ่อปีโอแห่งปีเอเตร็ลชีน่าเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1968 ซึ่งคุณสมบัติความศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นที่รู้จักแก่คนจำนวนมาก หากไม่นับนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี ก็ไม่เคยมีนักบุญในยุคของเรานี้ทำอัศจรรย์มากเช่นนี้เลย

        คุณพ่อปีโอเป็นพระสงฆ์คณะกาปูชินท่านแรกที่มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นรอยแผลของพระเยซูคริสต์ เฉกเช่นนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี  นักบุญปีโอเป็นผู้ที่รักษาคนป่วยเป็นพันๆคนขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่  ท่านสามารถอ่านดวงวิญญาณ ท่านรู้เรื่องราวอย่างชัดเจนในที่ฟังแก้บาปว่าผู้เข้ามาแก้บาปทำอะไรลงไปบ้าง  มีคนเห็นท่านอยู่ในสถานที่สองแห่งในเวลาเดียวกันนับเป็นสิบๆครั้ง คือปรากฏตนในสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากสถานที่ที่ท่านพำนักอยู่ มีเรื่องเล่าที่ท้าทาย ดังนี้  มีคนเห็นท่านนักบุญที่ นครรัฐวาติกันทั้งๆที่ท่านไม่เคยออกจากอารามที่เมืองซานจิโอวานนีโรธอนโดเลย ใบหน้าของท่านเปลี่ยนเป็นพระพักตร์ของพระเยซูเจ้าขณะที่ทำการเสกศีล คนงานคนหนึ่งชื่อจิโอวานนี ซาวีโน ตาบอดข้างหนึ่งแต่ต่อมากลับมองเห็นได้ด้วยผ้าพันตาที่คุณพ่อปีโอมอบให้ขณะที่ไปเยี่ยมเขาด้วยการปรากฏตัวอยู่สองสถานที่ในเวลาเดียวกัน

        เฉกเช่นอัครสาวกเปาโล คุณพ่อปีโอยึดเอาไม้กางเขนเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตและกิจการงานต่างๆของท่าน ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์คือพลังที่แท้จริงซึ่งเป็นปรีชาญาณ และเกียรติมงคลของท่าน ท่านมีใจร้อนรนด้วยความรักของพระคริสตเจ้าจนตัวท่านมีความคล้ายพระเยซูเจ้าเองในการบูชาตนเองเพื่อความรอดของโลก

        คุณพ่อปีโอผู้เจริญรอยตามนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี  ท่านเกิดวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1887 ณ ปีเอเตร็ลชีน่าในสังฆมณฑลเบเนเวนโต ทางใต้ของอิตาลี ท่านเป็นบุตรของกราซีโอ ฟอร์จีโอเน และมารี ยูเซ็ปปา เด นุนซีโอ หลังเกิดได้เพียงหนึ่งวัน ท่านก็ได้รับศีลล้างบาปได้ชื่อว่า “ฟรานเชสโก”  ท่านรับศีลกำลังเมื่อตอนอายุ 12 ขวบพร้อมกับรับศีลมหาสนิทครั้งแรกด้วย

        วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1903 ตอนที่ท่านอายุ 16 ปีท่านสมัครเข้าเป็นผู้ฝึกหัด ณ อารามนักบวช คณะกาปูชิน ที่มอร์โกเน ท่านได้รับเครื่องแบบนักบวชกาปูชิน เมื่อวันที่ 22 มกราคม และเปลี่ยนชื่อเป็นบราเดอร์ปีโอ เมื่อจบปีการเป็นนวกะแล้ว ท่านเข้าทำพิธีถวายตัวแด่พระเจ้าแบบเรียบง่าย  ต่อมาวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1907 จึงทำการปฏิญาณตลอดชีวิต  ท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์วันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1910 ที่เบเนเวนโต เนื่องจากท่านมีสุขภาพไม่ค่อยดีจึงต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวจนกระทั่งปี ค.ศ. 1916 ในเดือนกันยายนปีเดียวกันท่านถูกส่งไปประจำบ้านนักบวชแห่งซาน จิโอวานนี โรธ็อนโด และอยู่ที่นั้นจนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1968

        พวกปิศาจโกรธแค้นท่านมากๆที่ท่านมีความศรัทธาต่อพระเยซูคริสตเจ้ามาก จึงประจญรบกวนท่านอย่างไม่หยุดหย่อนและถือว่าท่านเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด แต่ถึงแม้ปิศาจพยายามใช้กลยุทธ์เล่ห์เหลี่ยมอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ปาเดรปีโอเปลี่ยนความตั้งใจได้ พวกมันจึงหันมาเล่นงานท่านตอนกลางคืน มีการต่อสู้กันดุเดือดมาก ซึ่งทหารผู้กล้าของพระเยซูคริสตเจ้าต่อสู้กับมารร้ายจนทิ้งร่องรอยของการต่อสู้ที่มองเห็นได้ในตอนเช้าหลายครั้ง เหตุการณ์รบกวนของปิศาจมักลงเอยด้วยการที่ท่านเห็นภาพนิมิตสวรรค์สวยงามซึ่งสะท้อนให้พวกเราเห็นถึงชีวิตอันสูงส่งงดงามยิ่งนักบนใบหน้าของท่าน

        สำหรับเรื่องความเมตตาฝ่ายสังคม ท่านปวารณาตนเองที่จะบรรเทาความเจ็บปวดและความทุกข์ของครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยผ่านทางมูลนิธิ Casa Sollievo della sofforenza (บ้านบรรเทาทุกข์) ซึ่งเปิดวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1956 สำหรับปาเดรปีโอแล้ว ความเชื่อคือชีวิต ท่านปรารถนาทุกอย่างและกระทำทุกอย่างในแสงสว่างแห่งความเชื่อ ท่านมีความร้อนรนมากในการสวดภาวนา ท่านใช้เวลากลางวันและกลางคืนส่วนใหญ่ไปในการสนทนากับพระเจ้า ท่านมักจะพูดว่า “ในหนังสือเราแสวงหาพระเจ้า ในการสวดภาวนาเราพบพระองค์ การสวดภาวนาคือกุญแจที่จะไขประตูดวงพระทัยของพระเจ้า” ความเชื่อนำท่านให้ยอมรับพระประสงค์อันเร้นลับของพระเจ้าเสมอ

รอยแผลศักดิ์สิทธิ์

         ณ ตำบลปีเอเตร็ลชีน่า วันนั้นเป็นวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1915 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี เคยได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ คุณพ่อปีโอก็ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกแต่ไม่อาจมองเห็นได้  เครื่องหมายแห่งการทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าทำให้ท่านเจ็บปวดรวดร้าวมากติดต่อกันสองสามวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันศุกร์ จนผู้ฟังแก้บาปของท่านซึ่งเป็นผู้เดียวที่รู้เรื่องนี้คิดว่าเป็นการดีที่จะอนุญาตให้ท่านไม่ต้องทำมิสซา  แต่คุณพ่อปีโอไม่ยอมใช้การยกเว้นนี้ ท่านยังคงทำมิสซาต่อไปในวัดน้อยเก่าที่อุทิศให้กับนักบุญปีโอผู้เป็นมรณะสักขี

        ต่อมาอีกสามปีคือปี ค.ศ. 1918 หลังจากที่ย้ายออกจากเมืองฟอกญ่าไปอยู่ที่เมืองซาน จิโอวานนี โรธอนโด รอยแผลของพระเยซูคริสต์ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าของปาเดรปีโอ ซึ่งไม่สามารถที่จะซ่อนมันไว้ได้อีกต่อไป ท่านอธิบายเหตุการณ์ (ดังที่รายงานโดย เบอร์นาร์ด รุฟฟินในหนังสือ “ปาเดรปีโอ: เรื่องจริง) ว่าดังนี้

        “ข้าพเจ้ากำลังนั่งฟังแก้บาปเด็กคนหนึ่ง และในทันทีทันใดข้าพเจ้าก็เกิดความกลัวอย่างสุดขีด ที่เห็นผู้ที่มาจากสวรรค์แสดงพระองค์ท่านเองต่อสายตาแห่งปัญญาของข้าพเจ้า พระองค์ทรงถืออาวุธชนิดหนึ่งในพระหัตถ์ เป็นอะไรที่ยาวแหลมคมเหมือนใบมีดที่ทำด้วยเหล็กซึ่งดูเหมือนจะพ่นไฟออกมาด้วย   ณ บัดดลที่ข้าพเจ้าเห็นสิ่งนี้ข้าพเจ้าเห็นบุคคลผู้นั้นตวัดอาวุธตรงมาที่ดวงวิญญาณข้าพเจ้าจนสุดกำลัง”

        นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นแห่งรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่สีข้างของปาเดรปีโอ มือและเท้าของท่านถูกทิ่มแทงภายหลัง – วันที่ 20 กันยายน “ระหว่างเจ็ดและสิบโมงเช้า ขณะที่ศิษย์ของข้าพเจ้ากำลังพักผ่อนในสวน ข้าพเจ้านั่งในวัดแต่ลำพังบนเก้าอี้นั่งที่สงวนไว้สำหรับเจ้าอาวาส  ข้าพเจ้ากำลังภาวนาขอบคุณพระเจ้าหลังการถวายบูชาขอบพระคุณ ทันทีทันใดมีแสงยิ่งใหญ่ส่องมาที่ดวงตาข้าพเจ้า ท่ามกลางแสงสว่างนี้พระเยซูคริสต์ผู้ทรงมีรอยแผลปรากฏมา พระองค์มิได้ทรงตรัสอะไรกับข้าพเจ้าเลยก่อนที่พระองค์จะจากไป”

        ท่านกล่าวว่าไม้กางเขนบนที่ศักดิ์สิทธิ์ได้เปลี่ยนเป็นพระเยซูคริสต์ที่มีชีวิต ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและสีข้างของพระองค์มีโลหิตไหลออกมา สีพระพักตร์ของพระองค์ทำให้ปาเดรปีโอตกใจกลัวมาก “จากพระองค์มีรัศมีแสงพุ่งออกมาเป็นลำไฟที่ทำให้ฝ่ามือและฝ่าเท้าของข้าพเจ้าเป็นบาดแผล  สีข้างของข้าพเจ้าถูกทำให้เป็นบาดแผลอยู่แล้วเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมในปีเดียวกัน

        ปาเดรปีโอมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 50 ปี เพียงไม่กี่นาทีหลังความตายของท่านบาดแผลดังกล่าวก็อันตรธานหายไป

การถวายบูชาขอบพระคุณของคุณพ่อปีโอ

        วิญญาณที่เปี่ยมด้วยความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ปาเดรปีโอดำเนินชีวิตตามกระแสเรียกอย่างบริบูรณ์เพื่อการไถ่กู้มนุษยชาติตามพันธกิจพิเศษซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษจวบจนตลอดชีวิตซึ่งท่านปฏิบัติด้วยการให้คำแนะนำแก่วิญญาณสัตบุรุษมากมายโดยอาศัยศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท จุดเด่นสูงสุดในศาสนกิจของท่านคือการเฉลิมฉลองบูชามิสซาขอบพระคุณ  สัตบุรุษผู้เข้าร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณสามารถเป็นประจักษ์พยานได้ถึงความเป็นเลิศและความบริบูรณ์ในชีวิตจิตของท่าน

        ไมเกิ้ล บราวน์ ในหนังสือชื่อ Spiritual Daily เขียนว่า “จงสวดภาวนาต่อ ปาเดรปีโอเพื่อขอการบำบัดรักษา จงอธิษฐานภาวนาต่อท่านเมื่อต้องการความบรรเทาใจจากการล่อลวงของพวกปิศาจ จงไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณกับท่านนักบุญ นี่เป็นเวลาที่มีสีสันแท้จริงของท่านจะปรากฏออกมา ปาเดรปีโอศรัทธาจริงจังมากเวลาทำมิสซาจนหลายคนบอกว่าใบหน้าของท่านเปลี่ยนเป็นพระพักตร์ของพระเยซูคริสตเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ท่านเสกศีล บางครั้งท่านชูศีลมหาสนิทนานกว่าสิบนาทีเพราะท่านเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พร้อมกับตระหนักว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้จริงๆ ดังนั้นการถวายบูชามิสซาของท่านจะยาวมาก ส่วนใหญ่จะเกิน 2 ชั่วโมง (โดยไม่มีการเทศน์ซึ่งนานๆท่านจึงจะเทศน์สักครั้ง)

        “ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมีประสบการณ์ได้ฟังมิสซาของท่านเพียงครั้งเดียวจะไม่มีวันลืมได้เลย” คุณพ่ออัลแบร์โต ดาปอลลีโต เพื่อนพระสงฆ์คนหนึ่งของท่านกล่าวว่า “นี่สร้างความประทับใจจนว่าเวลาและช่องว่างระหว่างพระแท่นและภูเขากัลวารีหายไป  มิสซาของปาเดรปีโอเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการแสดงมหาทรมานของพระคริสตเจ้าอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่เป็นแค่รูปแบบแห่งความเร้นลับเท่านั้น แต่ในเชิงกายภาพของท่านด้วย  ความรู้สึกทางอารมณ์ระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้ปาเดรปีโอตัวสั่นบนพระแท่นบูชาราวกับว่าท่านกำลังดิ้นรนต่อสู้กับใครที่เรามองไม่เห็น ที่มาประทับในตัวท่านครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งมีทั้งความกลัว ความชื่นชมยินดี ความเศร้า ความทรมาน และความเจ็บปวด จากการแสดงออกจากสีหน้า เราสามารถติดตามการสนทนาเร้นลับของท่านได้”

        กล่าวกันว่าท่านเห็นมหาทรมานของพระเยซูคริสต์ทั้งหมด และเราก็ทราบว่ากายของท่านทนทุกข์มากกับบาดแผลของพระเยซู  ซึ่งเป็นความทุกข์หนักจนว่าบ่อยครั้งท่านหลั่งน้ำตาขณะอ่านบทอ่าน  ผู้เขียนประวัติของท่านอีกคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ท่านนักบุญยืนนิ่งไม่กระดิกตัวเป็นเวลานานขณะที่ถวายปังและเหล้าองุ่น “ราวกับว่าท่านถูกตรึงด้วยตะปูแห่งพลังเร้นลับ” ดวงตาของท่านเปียกชุ่มขณะที่ท่านเพ่งไปยังไม้กางเขน ในช่วงเสกศีลมือของนักบุญปีโอกระตุกด้วยความเจ็บปวด (การเสกศีลของท่านยาวกว่าปกติหลายเท่า) ท่านดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงจากความทุกข์ทรมานจนท่านต้องยืนพิงพระแท่นครั้งละหลายนาทีเพื่อสนทนากับพระเยซูคริสตเจ้า

        ท่านนักบุญทรมานมากขณะเสกศีลฯ ท่านรู้สึกรุ่งโรจน์มากช่วงรับศีลมหาสนิท ท่านเห็นทูตสวรรค์และบรรดานักบุญ ท่านเห็นความรุ่งโรจน์ของพระเจ้าและเห็นประตูสวรรค์เปิดออก ตลอดพิธีบูชาขอบพระคุณ (มิสซา) นักบุญปีโอดูเหมือนจะมองเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง ท่านบอกว่าท่านสามารถเห็นแม่พระประทับอยู่ข้างๆ ท่านถูกถามว่าแม่พระประทับอยู่ในทุกมิสซาหรือ?  ท่านตอบว่า “ใช่”  แล้วทูตสวรรค์ประทับอยู่ด้วยหรือเปล่า? “ทั้งท้องพระโรงสวรรค์ล้วนประทับอยู่ทั้งสิ้น” คุณพ่อดาปอลลีโตกล่าวว่า ใครที่สงสัยว่ามีการประทับอยู่ดังกล่าวหรือไม่ก็ขอให้มาฟังมิสซาของนักบุญปีโอก็แล้วกัน

        ในบทเทศน์วันสถาปนาปาเดรปีโอเป็นบุญราศีวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1999 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ตรัสว่า “ข้าพเจ้ากำลังไปเตรียมที่สำหรับท่าน… เพื่อว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหนท่านก็อาจอยู่ด้วยกันได้” (ยน. 14: 2) จะมีเป้าประสงค์อื่นใดสำหรับการเรียกร้องให้ดำเนินชีวิตพรตซึ่งปาเดรปีโอปฏิบัติตั้งแต่เยาว์วัยหากมิใช่เป็นการค่อยๆทำตนให้เป็นเหมือนพระอาจารย์เจ้า เพื่อที่ตนจะได้ไปอยู่ “ที่พระองค์ทรงประทับอยู่”? คนที่ไปซานจีโอวานนี โรธอนโดเพื่อฟังมิสซาของท่าน ไปขอคำแนะนำ หรือมีโอกาสไปแก้บาปกับท่าน คงจะเห็นได้ว่าท่านเป็นภาพทรงชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงได้รับการทรมานและทรงเสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพ ใบหน้าของปาเดรปีโอสะท้อน แสงสว่างแห่งการกลับฟื้นคืนชีพ ร่างกายของท่านที่มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แสดงให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพอันเป็นคุณสมบัติของพระธรรมล้ำลึกแห่งปัสกา บุญราศีแห่งปีเอเตร็ลชีน่า มีส่วนร่วมในพระมหาทรมาน ด้วยความเข้มข้นพิเศษ นี่เป็นพระพรจำเพาะที่ท่านได้รับรวมถึงความทุกข์ทรมานภายในและเร้นลับที่มาควบคู่กัน ทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้ท่านมีส่วนร่วมอยู่เสมอในตรีทูตของพระเยซูคริสตเจ้า ท่านไม่รู้สึกสะทกสะท้านเพราะท่านสำนึกว่า “กัลวารีคือเนินเขาแห่งบรรดานักบุญ”

“นักบวชที่บินได้”

        นี่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวถึงอัศจรรย์ทั้งหมดที่ปาเดรปีโอกระทำ ซึ่งไม่มีวันสิ้นสุดและนี่อยู่เหนือหรือเลยความตายของท่านด้วย รุฟฟินเล่าว่า วันหนึ่งพระสงฆ์องค์หนึ่งชื่อคุณพ่อกอนสตันตีโน “เข้าไปในห้องของคุณพ่อปีโอ เขาต้องตะลึงในสิ่งที่เขาเห็น ใบหน้าของปีโอเป็นประกายด้วยเปลวไฟสีแดงกุหลาบ อันเป็นแสงสว่างชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนและคิดว่าคงจะไม่มีวันได้เห็นสิ่งอีก ซึ่งเป็นแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่เขาจะไม่มีวันลืมมันเลย  ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับโมเสสตอนที่ลงมาจากภูเขาซีนัยพร้อมกับถือหินสองแผ่นที่จารึกพระบัญญัติ”

สำหรับปรากฎการณ์บนท้องฟ้า:  “มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับนักบินฝ่ายพันธมิตรซึ่งพยายามที่จะทิ้งระเบิดลงที่เมืองซานจีโอวานนี โรธอนโด แต่ต้องชะงักหยุดโดยการประจักษ์ของ นักบวชรูปหนึ่ง ที่ยืนอยู่กลางอากาศโดยยื่นมือทั้งสองออกไปข้างหน้า” รุฟฟินกล่าว นักบินหลายคนพากันยืนยันว่าพวกเขาเห็นบุคคลผู้หนึ่งบนท้องฟ้า บางครั้งก็ขนาดเท่าคนธรรมดาบางครั้งก็ร่างใหญ่ดุจยักษ์ซึ่งปกติจะแต่งกายแบบนักพรตหรือพระสงฆ์  บรรดานักบินได้เห็นการปรากฎตัวของนักพรตยืนในอากาศบ่อยมาก มีรายงานมาจากหลายแหล่งข่าวในเรื่องนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ หลายคนที่หนีมาจากเมืองฟ็อกญ่า ณ ที่ซึ่งหลายคนเสียชีวิตด้วยการทิ้งระเบิดจากเวหากล่าวว่า มีระเบิดลูกหนึ่งตกลงมาในห้องที่พวกเขาซ่อนตัวอัดกันแน่น ลูกระเบิดตกใกล้รูปถ่ายปาเดรปีโอ พวกเขายืนยันว่าเวลาที่เกิดระเบิด มัน “ระเบิดเหมือนกับฟองสบู่” ส่วนคนอื่นๆรายงานว่าเวลาที่ลูกระเบิดถูกโปรยลงมาจากท้องฟ้าเหมือนห่าฝนลงเหนือเมือง พวกเขาพากันร้องตะโกนว่า “ปาเดรปีโอ พ่อต้องช่วยเราด้วย! ขณะที่พวกเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อปีโอ มีระเบิดลูกหนึ่งตกลงมาท่ามกลางพวกเขา แต่เดชะบุญที่มันไม่ระเบิด”

        แบร์นาร์โด โรซีนี นายพลกองทัพอากาศอิตาลีเล่าว่า “ที่เมืองบารีมีกองบัญชาการกองทัพอากาศสหรัฐตั้งอยู่ ข้าพเจ้ารู้จักนายทหารหลายคนที่เล่าให้ฟังว่าพวกเขารอดชีวิตเพราะได้รับความช่วยเหลือจากปาเดรปีโอในช่วงที่บินไปทิ้งระเบิด

        “วันหนึ่ง” นายพลโรซีนียังได้เล่าต่อ ”ผู้บัญชาการอเมริกันของกองบินฝูงหนึ่งต้องการนำฝูงบินทิ้งระเบิดไปทำลายคลังเก็บอาวุธของกองทัพเยอรมนีซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองซาน จีโอวานนี โรธอนโด   ผู้บัญชาการผู้นั้นเล่าว่า ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้เป้าหมาย พวกเขาเห็นรูปนักบวชท่านหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ามือทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้า ลูกระเบิดจึงหลุดออกไปเองตกลงในป่าและเครื่องบินต่างก็หันหัวกลับโดยที่นักบินไม่ได้ไปทำอะไรเลย”

        บางคนเล่าให้นายพลผู้นั้นฟังว่า ที่อารามในเมืองซานจิโอวานนี โรธอนโด มีนักบวชศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งที่ส่งกลิ่นหอมแห่งความศักดิ์สิทธิ์  เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้ว นายพลผู้นั้นต้องการไปพบบุคคลผู้นี้ “เขาเดินทางไปพร้อมกับนักบินอีกหลายคน” โรซีนี กล่าว “เขาตรงไปยังอารามกาปูชิน พอเขาข้ามธรณีประตูห้องแต่งตัวพระสงฆ์ เขาก็พบกับนักบวชหลายคน ซึ่งในบรรดาบวชเหล่านั้นเขาจำคนที่ “ห้าม” เครื่องบินของตนได้ในทันที ขณะที่ ปาเดรปีโอก้าวออกไปข้างหน้าตบไหล่นายพลพร้อมกับพูดว่า “โอ้..ท่านนี้เองที่ต้องการจะกำจัดพวกเราทุกคนให้สิ้นซาก”

         ในการบำบัดรักษาคนป่วยทั้งหมดของปาเดรปีโอ  รายที่น่าทึ่งที่สุดคือเด็กหญิงตาบอดคนหนึ่งจากย่านปาเเลร์โมที่ชื่อว่า เจมมา ดียีออร์จิโอ (โปรดดูรูปข้างบนวันที่เธอรับศีลมหาสนิทครั้งแรก)  “ตาหนูไม่มีแก้วตา” เจมมากล่าวในปี 1971 หลังที่ปาเดรปีโอเสียชีวิตไปหลายปี “หนูมองไม่เห็นอะไรเลย ตอนที่หนูอายุได้ 3 ขวบ แม่พาหนูไปหาจักษุแพทย์มีชื่อเสียงมากที่ปาเเลร์โม เขาบอกหนูว่าหากไม่มีแก้วตาหนูจะไม่สามารถมองเห็นได้”

ในปี ค.ศ. 1946 เมื่อหนูน้อยอายุ 7 ขวบ มีซิสเตอร์ท่านหนึ่งช่วยเขียนจดหมายไปหาปาเดรปีโอ และได้รับโน๊ตน้อยๆแผ่นหนึ่งว่าควรนำหนูน้อยไปพบปาเดรปีโอที่ซานจีโอวานนี โรธอนโด คุณยายของเธอจึงพาหลานไปพบนักบวชผู้ซึ่งฟังแก้บาปครั้งแรกของหนูน้อยพร้อมกับโปรดศีลมหาสนิทให้ แล้วท่านก็ทำสำคัญมหากางเขนเหนือตาของเด็ก หลังจากคุณพ่ออวยพรเสร็จ เจมมาก็สามารถมองเห็นได้

นัยน์ตาหายคืนเป็นปกติ

ที่น่าแปลกใจกว่านี้อีก คือการรักษาผู้หนึ่งซึ่งมีบันทึกไว้เป็นเอกสารอย่างละเอียดเกี่ยวช่างก่อสร้างคนหนึ่งที่ชื่อ จิโอวานนี ซาวีโน ซึ่งได้รับบาดเจ็บหนักเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1949 ด้วยอุบัติเหตุจากดินระเบิด นายแพทย์กุยลีเอลโม ซาน-กวีเน็ตตี คุณพ่อรัฟฟาเอเล และคุณพ่อโดมีนิค ไมเออร์รีบวิ่งไปยังคนป่วยทันที “ทั้งสามคนบอกว่าซาวีโนได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ตาข้างขวาของเขาหายไปทั้งหมด พวกเขาพูดเหมือนกันหมดว่าข้างขวาเหลือแต่รูโบ๋” แบร์นาร์โด รุฟฟินี ผู้เขียนประวัติรายงาน คณะแพทย์ลงความเห็นว่าลูกตาเขาหายไปจนสิ้นเชิง ส่วนตาข้างซ้ายก็บาดเจ็บสาหัส

ดูเหมือนว่าซาวีโนคงต้องตาบอดสนิทไปจนตาย  เขานอนอยู่ในโรงพยาบาล 3 วันมีผ้าพันแผลเต็มไปหมดทั้งศีรษะและใบหน้า เมื่อแพทย์ศัลยกรรมเดินเข้ามาในห้องวันที่สี่ ซาวีโนบอกว่าปาเดรปีโอได้มาเยี่ยมเขา ซาวีโนจำบางอย่างได้เพราะเขาได้รับกลิ่นหอมซึ่งร่ำลือกันว่ามักจะห่อหุ้มร่างของปาเดรปีโอ  ต่อจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ประมาณตีหนึ่งของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1949 ซาวีโนรู้สึกว่ามีใครมาตบหน้าด้านขวาเขา ด้านที่ลูกตาหายไปทั้งยวง “ข้าพเจ้าถามว่า ‘ใครมาสัมผัสข้าพเจ้า?’” “ไม่มีใคร ข้าพเจ้าได้รับกลิ่นหอมของปาเดรปีโออีกครั้งหนึ่ง มันช่างหอมหวลเหลือเกิน”

ต่อมาเมื่อจักษุแพทย์ซึ่งเป็นคนที่ไม่เอในพระเจ้าเข้ามาตรวจ นายแพทย์ตกใจ รุฟฟินีรายงานว่า “บรรดานายแพทย์ต่างพากันตกตะลึงที่พบว่าใบหน้าของซาวีโนที่แหลกยับเยินนั้นหายเป็นปกติปกคลุมด้วยหนังใหม่ ส่วนซาวีโนนั้นดีใจจนสุดขีดเพราะเขาสามารถมองเห็นได้ ‘ข้าพเจ้ามองเห็นท่านแล้ว’ เขาพูดกับจักษุแพทย์ด้วยความตื่นเต้น”

ตามที่มีบันทึกไว้ด้วยเอกสารแพทย์ บรรดาแพทย์ต่างพากันตกตะลึงที่ซาวีโนได้ดวงตาข้างขวากลับคืนมา ไม่ทราบว่าเพราะอะไรดวงตาจึงกลับคืนสู่สภาพปกติ “บัดนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อเช่นเดียวกัน” นายแพทย์กล่าว “เพราะข้าพเจ้าได้สัมผัสมันด้วยมือของข้าพเจ้าเอง!”  ดังที่รุฟฟินบันทึกไว้ เมื่อโรคต่างๆมันอันตรธานหายไปก็เป็นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น นี่เป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้วที่ได้ยินว่าโรคเบาหวาน โรคไอหืดหอบ โรคมะเร็งหายไปจากผู้ป่วยอย่างสิ้นเชิง “แต่สำหรับอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่หายไปกลับคืนสู่สภาพปกติเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ผู้เขียนประวัติกล่าว

ความสุภาพในการแต่งกาย

 ปาเดรปีโอขอร้องสัตบุรุษแต่งกายให้สุภาพก่อนเข้าโบสถ์พระมารดาแห่งพระหรรษทาน ณ ซาน จีโอวานนี โรธอนโด ช่วงปีท้ายๆที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านเคร่งครัดหนักขึ้นเนื่องจากแฟชั่นยุคนั้นซึ่งการแต่งกายไม่ค่อยสุภาพ  ท่านไล่คนที่แต่งกายแบบล่อแหลมให้ออกไปจากที่ฟังแก้บาปโดยไม่เกรงใจใครโดยเฉพาะสตรีที่ท่านเห็นว่าแต่งกายไม่เหมาะสมแม้ก่อนที่จะเดินไปแก้บาปด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงติดป้ายประกาศไว้หน้าโบสถ์ว่า “วัดเป็นบ้านของพระเจ้า ห้ามผู้ชายเข้าโบสถ์โดยใส่เสื้อที่ไม่มีแขนหรือนุ่งกางเกงขาสั้น ห้ามสตรีนุ่งกางเกง ไม่มีผ้าคลุมศีรษะ คนที่ใส่เสื้อคอต่ำ คอลึก หรือเสื้อไม่มีแขนเข้าโบสถ์ และห้ามยืมเสื้อผ้าผู้อื่นมาใส่เพื่อไปแก้บาป”

ประกาศข้อสุดท้ายไม่ใช่มากเกินไป ท่านเห็นด้วยตาในโบสถ์ เพียงสองสามนาทีก่อนไปแก้บาป สุภาพสตรีหลายคนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะแต่งกายให้ถูกต้อง พอปาเดรปีโอเห็นเข้า ท่านบ่นอุบอิบว่า “รีบไปแต่งตัวซะ นางตัวตลก!”

อัครสาวกแห่งการโปรดศีลอภัยบาป

        ประวัติศาสต์จารึกปาเดรปีโอแห่งปีเอเตร็ลชีน่าว่าเป็น “อัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่แห่งการฟังแก้บาป” นี่เป็นคำพูดของพระคาร์ดินัลผู้เป็นประธานของสมณกระทรวงเพื่อการสถาปนานักบุญ  เช่นเดียวกับนักบุญยอห์น มารี เวียนเนย์ เจ้าอาวาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ปาเดรปีโอใช้เวลากว่า 12 ชั่วโมงต่อวันในที่ฟังแก้บาป บ่อยครั้งท่านบอกบาปของผู้ที่มาแก้บาปล่วงหน้าเกี่ยวกับบาปทั้งหมดที่ผู้มาแก้บาปจะสารภาพซะอีก  ปาเดรปีโอสามารถอ่านมโนธรรมของคนได้ เช่นตัวอย่างต่อไปนี้

        วันหนึ่งชายคนหนึ่งที่มาหาปาเดรปีโอ เขาเป็นนักโทษหัวแข็งใจกระด้างพร้อมที่จะทำอะไรทุกอย่าง ชายชั่วคนนี้ต้องการกำจัดภรรยาแต่ต้องการปิดบังให้คนอื่นดูเหมือนว่าเขาเป็นคนศรัทธา เขาเสแสร้งไปพบปาเดรปีโอ เขาพาภรรยาไปซานจิโอวานนี โรธอนโดด้วยโดยวางแผนที่จะฆ่าภรรยาด้วยวิธีที่ชั่วร้ายที่สุด  เมื่อไปถึงอาราม เขาเข้าวัดเดินตรงไปยังที่ศักดิ์สิทธิ์ ปาเดรปีโอพอดีอยู่ที่นั่นกำลังพูดอยู่กับใครบางคน เมื่อเห็นชายผู้นั้นท่านเลิกสนทนาทันทีพร้อมกับเดินไปหาชายผู้นั้นแล้วผลักชายผู้นั้นอย่างรุนแรงเพื่อให้ออกไปทางประตูแล้วตะโกนสุดเสียงว่า “ออกไป! ออกไปให้พ้น! แกไม่รู้หรือว่าห้ามทำสิ่งที่มือแกเปื้อนเลือด?  ออกไปให้พ้น!”

        ชายโชคร้ายผู้นั้นงงจนพูดไม่ออก เขารีบออกไปจากโบสถ์ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นอันมาก  ทว่าคำพูดรุนแรงและพฤติกรรมของปาเดรปีโอสร้างความประทับใจให้กับชายผู้นั้นจนเขาไม่สามารถนอนหลับแม้แต่งีบเดียวตลอดคืน  เขาเริ่มเข้าใจความเหี้ยมโหดที่เขาวางแผนไว้สำหรับฆ่าภรรยา เขาได้รับพระหรรษทาน แล้วกลายเป็นคนใหม่ทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น

        เขากลับไปที่อารามใหม่แต่ครั้งนี้ปาเดรปีโอต้อนรับเขาด้วยความอ่อนโยน ฟังแก้บาปเขา แล้วยกโทษบาปให้เขาด้วย  ก่อนจากไปปาเดรปีโอถามเขาว่า “ท่านต้องการมีบุตรมิใช่หรือ? อย่าทำสิ่งที่เป็นที่ขัดเคืองพระเจ้าอีกต่อไป แล้วท่านจะมีบุตรชาย”  หนึ่งปีต่อมาเขาไปเยี่ยมปาเดรปีโอเพื่อให้ปาเดรรปีโอล้างบาปบุตรชายพร้อมกับยืนยันว่าตนกลับใจแล้ว

ข้าแต่นักบุญปาเดรปีโอ โปรดคุ้มครองเรา

โปรดคุ้มครองพระสงฆ์ของเรา โปรดคุ้มครองพระศาสนจักร

พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 และ ปาเดรปีโอ : สองสหายผู้ยิ่งใหญ่

         สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงรู้จักพระสงฆ์กาปูชินที่พระองค์ประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2002 เป็นอย่างดี ต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอนที่คัดเอามาจากบทความที่เขียนขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2002 ในนิตยสารภาษาอิตาเลียนชื่อ “Medjugorje” ซึ่งจัดพิมพ์โดยกลุ่มภาวนา “Regina Pacis” แห่งเมืองตูริน

     คุณพ่อคาโรล วอยติลา (พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2) พบปาเดรปีโอครั้งแรกในปี ค.ศ. 1947 นี่ไม่ใช่เป็นการพบปะกันตามปกติเฉกเช่นผู้จาริกแสวงบุญ แต่เป็นการพบปะกันที่ยืดเยื้อเกือบหนึ่งสัปดาห์ ในขณะที่คุณพ่อวอยติลายังเป็นสงฆ์หนุ่มท่านมีโอกาสสนทนากับปาเดรปีโอเป็นเวลานานเพื่อประเมินคำสอนและมีความเข้าใจได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายจิตของปาเดรปีโอ

     คาโรล วอยติลาเพิ่งจะบวชเป็นพระสงฆ์ได้ 8 เดือน จากนั้นท่านศึกษาต่อที่โรม ท่านสนใจมากเกี่ยวกับเทวศาสตร์พระธรรมล้ำลึก ท่านหลงใหลผลงานของนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาและนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนจนต้องขออนุญาตพระสังฆราชของตนว่าจะขอเข้าคณะคาร์เมไลต์ได้ไหมเพื่อจะเป็นนักพรตในคณะเดียวกับนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาและนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนซึ่งเป็นสองนักบุญที่ท่านชื่นชอบมากที่สุด พระสังฆราชของท่านคือพระคาร์ดินัล Sapieha พูดกับอธิการคณะคาร์เมไลต์ที่มาพูดขอร้องว่า “คาโรลทำประโยชน์มากกว่าสำหรับพระศาสนจักรในโปแลนด์ และภายหลังจะทำประโยชน์ให้กับพระศาสนจักรสากล”

     ดังนั้นคาโรลวอยติลาจึงยอมเป็นพระสงฆ์พื้นเมืองต่อไปล้มเลิกแผนการณ์ที่จะเป็นนักพรตคณะคาร์เมไลต์  ท่านถูกกำหนดให้ไปศึกษาที่โรมเพื่อจะได้เชี่ยวชาญในวิชาเทวศาสตร์  ขณะนั้นท่านทราบว่าบนเขาการ์โกนาโนมีนักบวชองค์หนึ่งที่มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ เมื่อปิดเทอมคาโรลจึงเดินทางไปที่เขาการ์โกโน ท่านสามารถหาทางพบปะกับปาเดรปีโอได้สองสามครั้ง และแน่นอนว่าท่านไปแก้บาปกับปาเดรปีโอด้วย

     ปาเดรปีโอพูดอะไรกับคุณพ่อวอยติลาหรือ? เราไม่ทราบ พระสันตะปาปาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้  แต่ในวันที่มีการเลือกตั้งพระสันตะปาปาซึ่งเป็นวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1978 มีเสียงร่ำลือกันแปลกๆในกรุงโรมเกี่ยวกับการพบปะกันของท่านทั้งสองเมื่อปี ค.ศ. 1947 ซึ่งมีการร่ำลือกันว่าปาเดรปีโอทำนายทายทักว่าวอยติลาว่าจะได้เป็นพระสันตะปาปา พระสงฆ์ชราชาวโปแลนด์ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อคุณพ่อคาโรล วอลติลายังหนุ่มอยู่มักเอ่ยถึงคำทำนายนี้ว่าเป็นเรื่องตลกพร้อมกับตัดสินว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชและพระอัครสังฆราชแห่งคราโคว์ ท่านไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย เพราะท่านคิดว่าคำทำนายอาจเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว

     เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1981 ได้มีความพยายามปลงพระชนม์พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ คำทำนายของปาเดรปีโอเกี่ยวกับคุณพ่อคาโรล วอยติลาก็กระหึ่มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีการพูดกันว่าเมื่อปี ค.ศ. 1947 ปาเดรปีโอได้ทำนายล่วงหน้าว่าจะมีคนพยายามสังหารสงฆ์หนุ่มวอยติลา “ท่านจะเห็นเสื้อหล่อสีขาวของท่านเปื้อนเลือด”  ก่อนที่จะมีการยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราควรถือว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่าชวนศรัทธาเท่านั้น  แต่พระสันตะปาปามิได้ปฏิเสธความจริงที่ว่า พระองค์ได้พบกับปาเดรปีโอในปี ค.ศ. 1947 และพระองค์นิยมชมชอบ ศรัทธาปาเดรปีโอตั้งแต่บัดนั้นเสมอมา

      ข้อพิสูจน์ชัดเจนที่พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 นิยมชมชอบปาเดรปีโอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1962 พระสังฆราชหนุ่มวอยติลาซึ่งขณะนั้นอยู่ที่กรุงโรมกำลังประชุมสภาสังคายนาวาติกัน ที่ 2 ท่านได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากคราโคว์ซึ่งแจ้งให้ท่านทราบว่าผู้ร่วมงานของท่านคนหนึ่งชื่อ ดร. วานดา โปลตาวสก้า (Dr. Wanda Poltawska) จิตแพทย์ผู้ซึ่งทำงานกับท่านในงานรับใช้ครอบครัวกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งที่ลำคอ แพทย์ตัดสินใจที่จะทำการผ่าตัดแต่ความหวังที่จะช่วยให้รอดนั้นแทบมองไม่เห็น

     วอยติลาทราบข่าวด้วยความเศร้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทเท่านั้นแต่เพราะเธอยังมีบุตรสี่คนซึ่งคงจะต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่  หยูกยาไม่สามารถช่วยอะไรได้ วอยติลาคิดถึงปาเดรปีโอขึ้นมาทันที ท่านจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงปาเดรปีโอเป็นภาษาลาติน ซึ่งถูกนำไปมอบให้กับสงฆ์กาปูชินโดยมงซินญอร์ อันเจโล บัตติสตา ผู้ที่ทำงานอยู่ในสำนักเลขาธิการแห่งนครรัฐวาติกันและท่านยังเป็นผู้บริหารบ้านบรรเทาผู้ป่วยซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ปาเดรปีโอตั้งขึ้นด้วย

     มงซินญอร์บัตติสตายื่นจดหมายให้ปาเดรปีโอ ซึ่งพออ่านจดหมายเสร็จกล่าวว่า “อันเจโล พ่อไม่อาจปฏิเสธการขอร้องนี้ได้”

      สิบเอ็ดวันต่อมามงซินญอร์บัตติสตากลับไปที่ซาน จิโอวานนี โรธอนโดพร้อมกับจดหมายฉบับที่สองของพระอัครสังฆราชวอยติลา ซึ่งท่านขอบใจปาเดรปีโอกล่าวว่า “สุภาพสตรีที่ป่วยเป็นมะเร็งนั้นหายเป็นปลิดทิ้งก่อนเข้าห้องผ่าตัด”

     การสนทนาติดต่อกันเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1947 ระหว่างปาเดรปีโอและสงฆ์หนุ่มคาโรล วอยติลาและยังคงดำเนินติดต่อกันเรื่อยมา  คาโรล วอยติลาประทับใจและชื่นชมปาเดรปีโอมากยิ่งขึ้นหลังความตายของท่าน  พระอัครสังฆราชวอยติลาเป็นคนแรกที่มีจดหมายขอให้เปิดกระบวนการแต่งตั้งปาเดรปีโอเป็นบุญราศี ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่2 เสด็จไปเยือนซาน จีโอวานนี โรธอนโด ทรงคุกเข่าอธิษฐานภาวนา ณ หลุมศพของปาเดรปีโอ และเป็นคาโรล วอยติลานี้เองซึ่งบัดนั้นเป็นพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ผู้ทรงประกาศสถาปนาปาเดรปีโอเป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ

(นำเสนอโดย มงซินญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์)